สโลแกนขององค์กรวิชาชีพสื่อ
ในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคมปีนี้ คือ “ปลดล็อคคำสั่ง
คสช. คืนเสรีภาพประชาชน” คำสำคัญ คือ คำสั่งคสช.ที่เป็นเสมือนตัวแทนอำนาจทหาร ที่ใช้ความคิด วัฒนธรรมแบบทหาร มาเขียนกฎหมาย
ในรูปประกาศ และคำสั่ง คสช.บางฉบับ
เป็นการใช้กฎเหล็กมาลิดรอนเสรีภาพสื่อ
มีหลายคนถามอยู่เสมอว่าในยามที่องค์กรสื่อแสดงจุดยืนเรื่องเสรีภาพผ่านแถลงการณ์หรือส่งสารถึงนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า
คสช. นั้น สื่อเองก็ยังเป็นปัญหาของสังคม สร้างความแตกแยกร้าวฉานให้เกิดกับคนในชาติ
บางคนบอกว่า เพราะสื่อเป็นเช่นนี้เอง
สังคมไทยจึงเดินมาถึงวันที่คนถือปืนเข้ามาคุมกฎของบ้านเมือง
ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ปรารถนาและพยายามแสดงการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ
ทัศนคติและความคิดเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
เพราะก็มีความจริงอยู่หลายส่วน แต่เรื่องการยืนยันหลักการเสรีภาพนั้น
เป็นคนละเรื่อง คนละประเด็นกับข้อโต้แย้งทั้งหลาย
คำว่า เสรีภาพสื่อ ไม่ได้แปลว่า
เป็นเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ แต่หมายถึงเสรีภาพของประชาชนทั่วไป
ที่สะท้อนผ่านสื่อ ซึ่งถือ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นประชาธิปไตยที่สำคัญ
ผู้ยึดอำนาจในยุคหลัง จึงพยายามลดทอนถ้อยคำ
ไม่ให้สังคมรู้สึกว่าถูกลิดรอนความเป็นประชาธิปไตย
จึงยังคงน้ำเสียงของคำว่าประชาธิปไตยไว้ ทั้งที่โดยเนื้อหาไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น
การยึดอำนาจของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน
2549 ในนามของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(คปค.) ซึ่งก็เป็นบทเรียนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยุคนี้ด้วย
ที่ต้องการสื่ออย่างตรงไปตรงมา ว่าเข้ามารักษาความสงบด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ
ไม่ต้องห่อหุ้มไว้ด้วยประชาธิปไตย และไม่ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงคงเหลือเพียงคำว่า
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ดังนั้น การพูดถึงเสรีภาพ ภายใต้คำสั่งคสช. และสภาพที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนแต่เพียงลายลักษณ์อักษร
จึงเป็นการพูดถึงในเชิงหลักการว่า
เมื่อสถานการณ์ความจำเป็นในการจัดการปัญหาของบ้านเมืองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ ผ่านพ้นไป
เรื่องของเสรีภาพ ที่เคยเป็นข้อบัญญัติเด็ดขาดในรัฐธรรมนูญ เช่น
การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น จะกระทำมิได้
การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมด
หรือบางส่วน หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้
จะต้องกลับคืนมา และหากมีสื่อใดฝ่าฝืนข้อกำหนด ใช้เสรีภาพจนเกินขอบเขต
ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานปกติ กฎหมายปกติที่จะจัดการต่อไป
ประเทศที่มีอารยะในฝั่งยุโรป เขามีความเชื่อมั่นในเสรีภาพมาก เช่น
ฝรั่งเศส คำขึ้นต้นของรัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อปี ค.ศ.1791 บัญญัติชัดเจนว่า “เสรีภาพในการสื่อสารความคิด
และความคิดเห็น เป็นสิทธิที่มีคุณค่าของมนุษย์ พลเมืองทุกคน จึงพูด เขียน
พิมพ์ได้โดยอิสรเสรี”
ประเทศเยอรมนี รัฐธรรมนูญ ปี ค.ศ.1949 “ทุกคนมีสิทธิ์แสดงออก
และเผยแพร่ออกไปอย่างอิสรเสรี ซึ่งความคิดเห็นของเขา โดยทางวาจา ทางขีดเขียน
และทางรูปภาพ…”
ประเทศเดนมาร์ก รัฐธรรมนูญปี ค.ศ.1915 “ทุกคนมีสิทธิที่จะโฆษณาความคิดของเขาทางหนังสือพิมพ์
ทั้งนี้ โดยจะต้องรับผิดชอบต่อการถูกฟ้องร้องต่อศาล
การบังคับให้ส่งเรื่องเพื่อตรวจสอบก่อน หรือใช้มาตรการที่เป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้า
ไม่อาจกระทำได้”
ประเทศฟินแลนด์ รัฐธรรมนูญปี ค.ศ.1919 “พลเมืองมีเสรีภาพในการพูด
การพิมพ์ และในการโฆษณาข้อเขียน รูปและเรื่อง โดยไม่ต้องมีอุปสรรค ขัดขวาง
หรือส่งเรื่องไปให้ตรวจสอบก่อน”
สำหรับประเทศฟินแลนด์ มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์และใช้สื่อออนไลน์อยู่ในกลุ่มสูงสุดในโลก
นอกจากบทบัญญัติรับรองเสรีภาพในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติเสรีภาพสื่อ
เช่นเดียวกับที่ตัวแทนองค์กรสื่อไทยพยายามยกร่างกฎหมายให้เหมาะสมกับสังคมไทยขณะนี้
มีอีกหลายประเทศทั้งฝั่งยุโรปและเอเชีย ที่ถือว่าเสรีภาพคือหัวใจสำคัญ
จะไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการบังคับประชาชนของเขาให้ต้องฟังผู้นำของเขา
ผูกขาดความคิด พูดเรื่องน่าเบื่อหน่าย อยู่ทุกวัน ทุกคืนในทีวีพูลเช่นประเทศนี้
เรายอมรับสภาพได้ว่า ไม่อาจคาดหวังเสรีภาพจากรัฐบาลนี้ได้แน่นอน
แต่อย่าบอกว่า ประเทศนี้มีเสรีภาพ เสรีภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ที่ปลายปืน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1177 วันที่ 4 - 10 พฤษภาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น