วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

ศาลยกฟ้องสุสานหอย ถ่านหินชนะ 'มะลิวรรณ' กังขา สนามกอล์ฟดีกว่า?


จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

มะลิวรรณและผู้ฟ้องคดีช้ำ ศาลปกครองสูงสุดตัดสินยกฟ้องคดีสุสานหอย 13 ล้านปี ให้เหลือเพียง 18 ไร่  ตัดพ้อคนเพียบหยิบมือไม่สามารถคุ้มครองมรดกของประเทศไว้ได้ เมื่อคนส่วนรวมขาดความสนใจ ตั้งขอสังเกตทุ่งบัวตองและสนามกอล์ฟของ กฟผ.แม่เมาะ มีประโยชน์ตรงไหน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 ก.ย.61 ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ 459/2548 คดีหมายเลขแดงที่ 1203/2550  ระหว่างนายเฉลียว ทิสาระ กับพวกรวม 18 คน ผู้ฟ้องคดี กับ คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ถูกฟ้องที่ 2 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ผู้ถูกฟ้องที่ 3  และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้ถูกฟ้องที่ 4  คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ(อุทธรณ์คำพิพากษา)  กรณีการอนุรักษ์หอยขมดึกดำบรรพ์ 13 ล้านปี บริเวณพื้นที่ทำเหมืองแม่เมาะ ประทานบัตรเลขที่ 24349/15341


โดยมีนายสุรชัย ตรงงาม ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีทั้งสิบแปด นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์  ผู้ฟ้องคดีที่ 3   นายอัศวเทพ ลาอ่อน ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ 3  นายสุรพร ประดิษฐ์เทา ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4  เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษา

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกฟ้อง  ระบุว่าการที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.47 และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  เพิกถอนประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 ในส่วนที่เป็นพื้นที่แหล่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์ เนื้อที่ 43 ไร่ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ควบคุมและสั่งการให้ กฟผ. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเลขที่ 24349/15341 โดยจัดทำรายงายวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรณีแหล่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์เพิ่มเติม เพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการโดยกำหนดให้ กฟผ. ดำเนินการัดทำสิ่งป้องกันมิให้เกิดการพังทลายของซากหอยขมดึกดำบรรพ์อันเกิดจากการทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์ และภัยธรรมชาติ และให้คณะรัฐมนตรี สั่งการให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นเขตโบราณสถาน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย

โดยศาลได้ให้ความเห็นในบางช่วงบางตอนว่า ในขณะที่มีการฟ้องคดีศาลปกครองชั้นต้น กฟผ.ดำเนินการทำเหมืองในพื้นที่ซากหอยขมดึกดำบรรพ์ เนื้อที่ 25 ไร่ ที่ถูกกันออกจากพื้นที่อนุรักษ์เนื้อที่ 52 ไร่ไปหมดแล้ว สภาพของพื้นที่ซากหอยขมดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่จึงเป็นพื้นที่ 18 ไร่  มติของผู้ถูกฟ้องที่ 1ลงวันที่ 21 ธ.ค.47 ที่กำหนดพื้นที่ซากหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นพื้นที่อนุรักษ์ 52 ไร่ โดยเป็นพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์ 18 ไร่  รวมพื้นที่อื่นอีก 34 ไร่ มีผลเป็นการเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ก.พ.47  ที่กำหนดพื้นที่ซากหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นพื้นที่ 43 ไร่ เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย และได้มีการตรวจสอบทำรังวัดกันเขตพื้นที่ประทานบัตร เลขที่ 24349/15341 ออกจากพื้นที่อนุรักษ์ซากหอยขมดึกดำบรรพ์ดังกล่าวแล้ว  การทำเหมืองของ กฟผ.จึงเป็นการกระทำนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์แหล่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์ตามมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่าซากหอยขมดึกดำบรรพ์ส่วนที่เหลือเนื้อที่ 18 ไร่ ในพื้นที่อนุรักษ์ยังคงตั้งอยู่ได้ จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะให้ กฟผ.ดำเนินการจัดทำสิ่งป้องกันไม่ให้เกิดการพังทลายของซากหอยขมดึกดำบรรพ์อันเกิดจากการทำเหมือง  กรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการทำเหมืองอาจมีผลกระทบต่อซากหอยดึกดำบรรพ์ อาจทำให้เกิดการพังทลายขึ้นได้นั้นเป็นความวิตกกังวลหรือคาดเดาเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบแปดสามารถฟ้องต่อศาลเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้ต่อไป

นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์  ผู้ร่วมฟ้องคดี ได้กล่าวหลังจากทราบคำพิพากษาว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของส่วนรวมแต่คนยังขาดการให้ความสนใจ โดยส่วนตัวมองว่า ทำไมการคุ้มครองมรดกทางโบราณคดีจึงต้องเป็นเพียงชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ เช่นพวกตน 18 คนที่ร่วมกันยื่นฟ้องคดีเท่านั้น ทั้งที่เป็นของคนไทยทุกคนและเป็นของโลกด้วย ขณะที่ กฟผ.มีงบมากมาย ที่ทำให้ทุ่งบัวตองและสนามกอล์ฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวชูหน้าองค์กร แต่ไม่ยอมที่จะรักษาสภาพทางธรณีวิทยาที่ควรค่ามีค่านี้ไว้ จึงมีคำถามตามมาว่าทั้งสนามกอล์ฟและทุ่งบัวตอง สร้างประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างไร

สำหรับความเป็นมาในเรื่องนี้ สืบเนื่องจากกรณีชาวบ้านบริเวณรอบเหมืองแม่เมาะ 18 ราย ได้มอบอำนาจให้ทางสภาทนายความและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม โดย นายสุรชัย ตรงงาม ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.48  จากเหตุที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.47 กำหนดลดพื้นที่อนุรักษ์ซากหอยขมดึกดำบรรพ์ จาก 43 ไร่ เหลือเพียง 18 ไร่ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ทำการไถทำลายซากหอยขมดึกดำบรรพ์ในบริเวณเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ ที่มีความสำคัญระดับโลกไปบางส่วน ซึ่งเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510  พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504  พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 ธ.ค.47 เพิกถอนประทานบัตรในส่วนที่เป็นพื้นที่แหล่งซากฟอสซิลหอยขม เนื้อที่ 43 ไร่  ให้รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ควบคุมให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรณีแหล่งซากฟอสซิลหอยขมเพิ่มเติมเพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ  ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการจัดทำสิ่งป้องกันมิให้เกิดการพังทลายของซากฟอสซิลอันเกิดจากการทำเหมืองถ่านหินและภัยธรรมชาติ  และให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมเป็นเขตโบราณสถาน  จากนั้นได้มีการยื่นอุทธรณ์คดีต่อสู้กันมายาวนานถึง 10 ปี กระทั่งศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาให้ กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกฟ้อง เท่ากับว่าให้กันพื้นที่อนุรักษ์ซากหอยขมดึกดำบรรพ์ 13 ล้านปี เหลือเพียง 18 ไร่เท่านั้น


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1196 วันที่ 14 - 20 กันยายน 2561)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์