แม้ข่าวที่เป็นเฟคนิวส์
ในตอนต้น บอกว่าช่อง 3 จะเลย์ออฟ
นักข่าววัยทำงานนับเกือบร้อยคน จะเป็นเพียงการปรับองค์กรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นพนักงานที่เกษียณอายุ
ไม่ได้ปลดพนักงานจำนวนมากมายกว่า 80 คน ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ช่อง 3 จะปลดพนักงานออกจำนวนมากน้อยเพียงใด
และจะปลดพนักงานฝ่ายข่าว ซึ่งนับว่า ช่อง 3 เป็นฝ่ายข่าวที่ใหญ่โตมาก
ถึงขนาดเรียกกันว่าครอบครัวข่าวหรือไม่
แต่การปรับองค์กรให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ก็คือผลกระทบจากความล้มเหลวของอุตสาหกรรมสื่อทีวีดิจิตอลทั้งระบบ
ซึ่งเริ่มเห็นเมฆหมอกทะมึน มาตั้งแต่ผ่านปีแรก หลังจากไทยทีวี โยนผ้าขาวก่อนใคร
จากนั้นทีวีดิจิตอลหลายช่องก็ทยอยล้มเป็นโดมิโน บางแห่งเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหม่
บางแห่งถูกเทคโอเวอร์โดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่
บางแห่ง
ต่อต้านการเข้ามาของผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ อย่างแข็งขัน ถึงขนาดประกาศต่อสาธารณชนว่า
มึงมา – กูไป แต่ครั้นมึงยึดอำนาจเบ็ดเสร็จสำเร็จได้จริงๆ กูก็ยังอยู่หน้าตาเฉย
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องขำๆเรื่องหนึ่ง
ในสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมสื่อ
กสทช.อาจไม่เคยยอมรับความจริงชัดๆว่า
การเปิดประตู ให้ผู้ประกอบการทั้งหลายได้ช่วงชิงคลื่นความถี่
ด้วยราคาประมูลที่ไม่ได้สะท้อนภาพความเป็นจริง ณ เวลานั้น
และคาดการณ์อนาคตสวยสดงดงาม คือหลุมพรางขนาดใหญ่ที่ล่อให้ตกลงไป ประกอบกับ
นายทุนสื่อเองก็วาดวิมานในอากาศว่า ทีวีดิจิตอลจะทำกำไรมหาศาลให้กิจการ
เป็นโอกาสทองที่ยินดีทุ่มเททุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งคลื่นความถี่
จนเวลาผ่านไปไม่นาน
เค้าลางของหายนะก็ปรากฏขึ้น พูดได้เลยว่า ทีวีเกือบทุกช่องยกเว้น ช่อง 7 เวิร์คพอยด์
ช่อง 8 ที่เขายังมีของขายอยู่ ต่างประสบชะตากรรมโดยทั่วหน้า
มีการปลดพนักงานออกจำนวนนับร้อยในทุกสถานี
ในขณะที่ คสช.ก็พยายามอุ้มทีวีดิจิตอลครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยวิธีการยืดลมหายใจออกไป
เช่นเดียวกับ
กสทช.ที่เพิ่งยอมรับความจริงว่า ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ล่าสุด ฐากร
ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ ก็คิดหาวิธีอุ้มทีวีดิจิตอล ที่กำลังขาดอากาศหายใจ
ด้วยหลากหลายวิธี เช่น ปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 700 เมกะเฮิรตซ์
เพื่อไปใช้ประกอบกิจการโทรคมนาคมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รวมทั้งเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงคลื่นความถี่
สนับสนุนการดำเนินการของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในส่วนของค่าภาระอันเกิดจากการปฏิบัติตามประกาศ
Must
Carry จนถึงปี 2565 สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการออกอากาศผ่านโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล
หรือค่า MUX เพื่อสนับสนุนผู้ให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัล 50%
ของค่าเช่าโครงข่ายจนถึงปี 2565 สนับสนุนให้มีการสำรวจความนิยม
หรือเรตติ้งของผู้ให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัลที่ออกอากาศผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อสามารถนำเอาข้อมูลการสำรวจความนิยมรายการดังกล่าวไปใช้อ้างอิงเพื่อหารายได้ได้อย่างเป็นธรรม
การสนับสนุนเป็นตัวเงินให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล
ก็คือการให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นเพื่ออุดหนุนสื่อมวลชนของเอกชน ซึ่งรัฐทำไม่ได้
ตามรัฐธรรมนูญ 2560
มาตรา 35 วรรค 5
ในขณะที่ผู้ประกอบการในท้องถิ่น
เคเบิลทีวี วิทยุชุมชน ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะ
ก็อยู่ในฐานะยากลำบากไม่ต่างกัน แต่คนเหล่านั้น อยู่ไกลเกินไปจากความช่วยเหลือ
ตัวเล็กเกินไปที่ใครจะมองเห็น
ถ้าเปิดตัวเลขผลประกอบการของทีวีดิจิตอลมาดูกัน
มีน้อยมากที่เห็นอนาคต ทีวีดิจิตอลส่วนใหญ่ ล้วนมีสถานภาพไม่ต่างไปจากซอมบี้
เป็นซากศพเดินได้ ไม่มีความจำ ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ไม่เห็นอนาคต
เพื่อความเท่าเทียมกันในตลาดการแข่งขันเสรี
อุตสาหกรรมสื่อมิใช่คำตอบของเศรษฐกิจประเทศทั้งระบบ ในตลาดเสรี
แข่งขันสู้เขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ ล่าถอยไป มิใช่เป็นตัวถ่วงความเจริญ
ให้รัฐต้องแบกรับภาระเช่นนี้ ช่องไหนเข้มแข็ง มีความสามารถในการบริหารจัดการ
มีความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคข่าวสารที่เปลี่ยนไป คนที่จะสนับสนุนเขาคือคนดู
มิใช่รัฐ รัฐมีหน้าที่เพียงส่งเสริมสนับสนุนให้คนเห็นคุณค่าของทีวีดิจิตอลที่มีงานคุณภาพและสร้างสรรค์เท่านั้น
นี่จึงเรียกว่าเป็นความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น