
ชาวบ้านตำบลวังทอง
อ.วังเหนือ จ.ลำปาง กว่า 500 คน ร้อง ส.ส.ไพโรจน์
หลังถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ปักหมุดยึดที่ทำกินได้รับความเดือดร้อน 9 หมู่บ้าน กว่า 28,000 ไร่ รับปากจะประสานฝ่ายเกี่ยวข้องรีบแก้ไข ด้าน
ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ เผยเคยคุยชาวบ้านแล้วให้ปลูกพืชแซมในพื้นที่ได้ขณะที่ต้นไม้ยังไม่โต
แต่หากต้นไม้เติบโตแล้วจะยกให้เป็นป่าชุมชนต่อไป
เมื่อวันที่
30 มิ.ย.62 ที่บริเวณสนามโบราณคดีหมู่บ้านปงถ้ำ ม.3
ต.วังทอง อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ได้มีประชาชนจาก 9 หมู่บ้าน ในตำบลวังทอง คือ 1
บ้านปงถ้ำ 2.บ้านปงทอง 3.บ้านตึงใต้ 4.บ้านตึงเหนือ 5.บ้านแม่เย็น 6.บ้านป่าลั่น 7.บ้านสารภี
8.ห้วยลอย 9.บ้านร่มโพธิ์ทอง จำนวนกว่า
500 คน นำโดยนายบุญหลง เจริญสุข กำนันตำบลวังทอง
ได้พากันมารวมตัวและขอพบนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง เขต2 พรรคเพื่อไทย
หลังได้รับความเดือดร้อนถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ลำปางปักหมุดเข้ายึดพื้นที่ทำกินในพื้นที่
ตำบลวังทอง 9 หมู่บ้าน รวม 2.8 หมื่นไร่
ที่ชาวบ้านเข้าทำกินปลูกข้าวโพดและปลูกมันสำปะหลังมานานหลายชั่วคน
นายบุญหลง
เจริญสุข กำนันตำบลวังทอง อ.วังเหนือ จ.ลำปาง กล่าวกับนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร
ว่าชาวบ้านเข้าใจในระเบียบของราชการแต่ขอความเห็นใจว่าชาวบ้านไม่ได้บุกรุกป่า แต่เข้ามาทำกินสืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย
เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาปักหมุดและยึดพื้นที่คืนและห้ามเข้าไปปลูกข้าวโพดทำไร่
หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ชาวบ้านใน 9 หมู่บ้าน ซึ่งมีอาชีพทำไร่ข้าวโพดจึงได้รับความเดือดร้อนไปตามๆกัน
ด้านนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง เขต 2 พรรคเพื่อไทย กล่าวกับชาวบ้านว่า
เรื่องนี้ตนเองจะประสานไปยังผู้เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานว่าเป็นมาอย่างไร มีช่องทางที่จะพอบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ไหม
แต่ทราบว่าในพื้นที่ป่าทั้งหมดที่ถูกยึดไปมีจำนวนเกือบ 3 หมื่นไร่ ประชาชนไม่ได้เป็นผู้บุกรุก แต่เป็นพื้นที่ที่เขาทำกินมาหลายชั่วคน
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามายึดพื้นที่คืนด้วยการปลูกต้นไม้แทน ก่อนห้ามชาวบ้านเข้าไปทำไร่ข้าวโพด
ปลูกมันสำปะหลังเหมือนอย่างแต่ก่อน และขอให้ทุกคนเคารพระเบียบกฎหมายด้วย แต่ในฐานะเป็นผู้แทนราษฎรจะรีบประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทางผ่อนผันดูก่อนว่ามีทางอนุโลมบ้างได้ไหม
เพราะเห็นใจในการประกอบอาชีพที่สุจริต
ด้านนายชูเกียรติ
พงษ์ศิริวรรณ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ขุนวังแปลง 1 ได้มีการจับกุมเมื่อปี
2556 ซึ่งขณะนั้นตนยังไม่ได้ย้ายมาที่ จ.ลำปาง
แต่ทราบว่าได้มีทางผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ร่วมกับตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง
และอื่นๆ ได้สนธิกำลังกันเข้ามาตรวจยึดเป็นแปลงใหญ่เกือบ 3
หมื่นไร่ และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของรัฐ
มีการจับกุมแล้วและเป็นคดีอยู่ เมื่อเป็นคดีไปแล้วไม่สามารถที่จะนำคืนได้
ส่วนการปลูกต้นไม้ได้มีการเริ่มปลูกตั้งแต่ปี
2557 มาเรื่อยๆ ในปี 2562 นี้ก็มีการปลูกอีกกว่า 4,000 ไร่ ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ ก่อนจะเสนอแปลงปลูกป่า
ต้องผ่านกระบวนการประชาคมชาวบ้าน นอกจากนั้นยังมีคำสั่งจากกระทรวง
ให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัด
ซึ่งมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำโครงการปลูกป่าที่ผ่านการประชาคมจากชาวบ้านแล้วมาพิจารณาอีกครั้งว่าทำขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยก็ได้ทำการอนุมัติ โดยผู้นำชุมชนจะทราบเรื่องดี การปลูกป่าก็ได้มีการจ้างชาวบ้านในพื้นที่เป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว
สำหรับพื้นที่จับกุมนี้
ได้มีการพูดคุยให้ชาวบ้านอยู่ร่วมกันได้
โดยให้ปลูกต้นไม้หรือข้าวโพดระหว่างแถวได้จนกว่าต้นไม้จะเติบโต ก็อนุโลมให้ได้ ถ้าผ่านไป
10 ปีต้นไม้เจริญเติบโตก็จะนำขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนต่อไป
ส่วนกรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนนั้น
ตอนนี้อยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่จัดทำข้อมูลพิกัด
เพื่อจะนำแผนที่ให้ทำการตรวจสอบว่าพื้นที่จับกุมครอบคลุมในจุดใดบ้าง เพื่อจะแจ้งให้ทาง
ส.ส.และชาวบ้านทราบ
หากต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าไปพูดคุยหรือชี้แจงรายละเอียดก็สามารถทำได้เช่นกัน
ผอ.ชูเกียรติ กล่าว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1236 วันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น