
๑...
กลายเป็นกระแสครึกโครมทางการเมืองไม่น้อย เมื่อเฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Chinese
Embassy in Bangkok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย' เผยแพร่ข้อความเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า
โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยให้ความเห็นเกี่ยวกับ
"กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก" และสถานการณ์ล่าสุดในฮ่องกง
โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 4 เดือนตุลาคม
รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้ประกาศ "กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก"
โดยอาศัยอำนาจจาก “กฎระเบียบในวาระฉุกเฉิน” มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เดือนตุลาคม กฎบังคับดังกล่าวห้ามผู้ชุมนุมสวมใส่หน้ากาก
ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการระบุตัวตนสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ผู้ละเมิดถือว่าทำผิดกฎหมาย
ความรุนแรงในฮ่องกงยืดยาวมาเป็นเวลามากกว่า
4 เดือน วันที่ 1 เดือนตุลาคม
กลุ่มคนใช้ความรุนแรงที่สวมหน้ากากได้รวมตัวกันอย่างผิดกฎหมายในพื้นที่ต่างๆ
ของฮ่องกง ปิดกั้นการจราจรในบริเวณกว้าง ทำลายร้านค้า
รถไฟใต้ดินและสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกทั้งได้จุดไฟเผา โยนระเบิดขวดจำนวนมาก
โจมตีสถานที่ราชการและสถานีตำรวจ
ทำร้ายเจ้าหน้าตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างบ้าคลั่ง ทำร้ายประชาชนทั่วไปอย่างไม่เลือกหน้า
พวกเขาจงใจสร้างเหตุการณ์นองเลือดขึ้นมา
ความรุนแรงได้ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นการท้าทายกฎหมายอย่างรุนแรง ทำลายความสงบสุขของสังคมฮ่องกง
และเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนทั่วไป
ในปัจจุบัน
ความอันตรายที่ใหญ่ที่สุดที่ฮ่องกงกำลังเผชิญอยู่ก็คือ
การใช้ความรุนแรงและการไม่เคารพกฎหมาย
ถึงเวลาแล้วที่ต้องยุติความรุนแรงและความวุ่นวายด้วยท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นและวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในสถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลเขตปกครองพิเศษได้บังคับใช้
"กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก" เป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมาย
ชอบธรรมและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
หลายประเทศในโลกก็ได้บังคับใช้กฎหมายห้ามปิดบังใบหน้าเช่นกัน
การบังคับใช้กฎบังคับดังกล่าวในฮ่องกง
มิได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกง
รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมด้วย
รัฐบาลส่วนกลางของประเทศจีนสนับสนุน
แคร์รี หลั่ม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานตุลาการในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดใช้ความรุนแรงทั้งปวง
โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง ตลอดจนผู้วางแผนและสั่งการที่อยู่เบื้องหลัง
เป็นที่ต้องชี้ให้ทราบว่า
ความผันผวนที่มาจากการต่อต้านการแก้ไขกฎหมายในฮ่องกงได้เปลี่ยนตัวไปอย่างสิ้นเชิง
กำลังพัฒนาเป็น "การปฏิวัติสี"
โดยได้รับการแทรกแซงจากกลุ่มอิทธิพลภายนอก
กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน ได้ใช้ประชาธิปไตยและเสรีภาพเป็นข้ออ้าง
เพื่อทำลายหลักการพื้นฐานของ "หนึ่งประเทศสองระบบ"
บ่อนทำลายอธิปไตยและความบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศจีน
ซึ่งฝ่ายจีนคัดค้านอย่างเด็ดขาด
กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก
เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน
ซึ่ง เป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ
ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง
ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย
@... ทั้งหมดนั้นคือข้อความที่กลายเป็นกระแสที่เล็งไปยัง
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ทันที เพราะได้มีภาพที่โจชัว หว่อง
แกนนำการประท้วงได้ถ่ายรูปคู่กับนายธนาธร ทุกอย่างจึงถูกเชื่อมโยงกลายเป็นเรื่องเดียวกันจนเป็นกระแสเมาท์ว่าสนับสนุนความวุ่นวาย
จน ธนาธร ต้องออกมาชี้แจงปมร้อนรูปคู่ว่าได้รับเชิญจากนิตยสาร The
Economist ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก
ให้ไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง
ในหัวข้อเรื่อง “Inside the Minds of Asia’s Next Gen Politicians” หลังจากที่งานเลิกแล้ว ตนและนายโจชัว หว่อง
พบกันในบริเวณงานและได้คุยกันประมาณ 5 นาที
ถ่ายรูปด้วยกันและแยกย้ายกันหลังจากนั้น
๑...
แม้ว่าจะมีนายทหารระดับสูงพยายามจะเชื่อมโยงหลายๆอย่าง สร้างกระแสความเกลียดชัง
สร้างวาทะกรรม ยัดเยียดความเชื่อความแตกแยกฝังในหัวคนไทย
แต่เราเชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้ ความเชื่อไม่ได้เกิดจาก ‘เขาว่า’ แต่ควรเชื่อจากหลักฐาน ประกอบเหตุผล
แบ่งแยกเอาอารมณ์ออกไป ประเทศไทยจะเดินหน้าได้อย่างแท้จริง
๑...
ไม่ต่างจากในท้องถิ่นลำปาง ที่การหาเสียงเลือกตั้งบางกลุ่มบางคนใช้วิธีการสร้างเรื่อง
ป้ายสี เรื่องจริงมี 5 บิดไปกลายเป็น 10 ก็มี
สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่คนรับสารที่ต้องคัดกรอง
เพราะตอนนี้ข้อมูลข่าวสารมากมายก่อยกอง ข่าวเท็จเหมือนข่าวจริง ก็ต้องกรองกันเอง
ติดภูมิคุ้มกันให้ดีๆ เพราะเมื่อถึงวันที่ปี่กลองตีอย่างเป็นทางการ
คงมีเรื่องอีกเยอะให้ปวดหัว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1247 วันที่ 18 - 31 ตุลาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น