
แกนนำคัดค้านเหมืองบ้านบอมยัน
ไม่รู้เรื่องก่อนรับฟังความคิดเห็น ผิดเองที่ไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรก
เหตุขาดข้อมูลประกอบ ด้านผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแม่เมาะและแม่ทานเตือน
อย่าเสี่ยงชีวิตกับผลประโยชน์ที่ไม่มีทางได้จริง
จากกรณีที่
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย(ลำปาง) จำกัด ได้ยื่นขอประทานบัตรเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์
จำนวน 4 ประทานบัตร ในพื้นที่ ต.บ้านบอม อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
รวมพท้นที่ประทานบัตรกว่า 958 ไร่
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ผลิตปูนซีเมนต์ของโรงงาน
และส่วนหนึ่งจะมีการขนส่งไปแหล่งรับซื้อภายนอก แต่มีชาวบ้านออกมาคัดค้านการทำเหมืองเป็นเหตุให้การดำเนินการหยุดชะงัก
และยังอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง
· ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่อง
น.ส.ลัด (นามสมมติ)
แกนนำผู้คัดค้านเหมืองถ่านหินลิกไนต์บ้านบอม
กล่าวว่าหลายปีแล้วที่มีบริษัทเอกชนรายใหญ่ทำเสมือนว่าเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อขุดเจาะน้ำประปาแต่แท้จริงมาสำรวจถ่านหินลิกไนต์
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่ได้ทราบเรื่องอะไรอีกเลย
รู้เพียงแต่ทางบริษัทเอกชนนั้นเข้ามาทำกิจกรรมกับหมู่บ้านหลายครั้ง เช่น
เป็นผู้บริจาครายใหญ่ของงานงานทอดกฐินประจำปี
ผู้นำหมู่บ้านแม้จะทราบเรื่องมาก่อนแต่ไม่ได้แจ้งอะไรกับชาวบ้าน เพียงแค่ถามความคิดเห็นจากคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเหมืองมากนัก
หลายคนจึงยกมือสนับสนุนไปเพราะคำกล่าวอ้างที่บอกว่าการมีเหมืองจะทำให้หมู่บ้านเจริญมากขึ้น
จึงทำให้ผู้นำหมู่บ้านคิดว่าคงไม่มีใครคัดค้านการทำเหมืองนี้
ชาวบ้านที่เหลือส่วนใหญ่มาทราบพร้อมกันว่าจะมีการทำเหมืองในวันที่บริษัทเอกชนนั้นเข้ามาทำประชาพิจารณ์ในหมู่บ้านเมื่อวันที่
6
กันยายน ที่ผ่านมา
จึงทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนไม่พอใจและตั้งตัวเป็นผู้นำ
กระตุ้นให้ชาวบ้านรับรู้ถึงผลกระทบจากการทำเหมือง
แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าการเข้ามาของบริษัทเอกชนจะทำให้ชาวบ้านมีสวัสดิการที่ดีมากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงชาวบ้านมักจะไม่ได้รับการเยียวยาเท่าที่ควร
ดูได้จากบ้านแม่ทานที่ทำเหมืองมาเกือบ 50 ปี
ยังไม่เจริญขึ้นมากเท่าไร บ้านบอมยังเจริญกว่าเสียอีก
และโครงการเหมืองดังกล่าวอยู่ห่างจากบ้านบอมเพียง 7 กิโลเมตร
พื้นที่ที่จะก่อสร้างมากกว่าหนึ่งพันไร่
ทุกวันนี้แม้จะยังไม่มีเหมืองน้ำก็แห้งแล้ง ฝนก็ไม่ตก นาก็ไม่มีน้ำใช้อยู่แล้ว
ยิ่งมีเหมืองมาก็ยิ่งจะไปกันใหญ่
· เดินเกมผิดเพราะไม่ปฏิเสธตั้งแต่แรก
น.ส.ลัด กล่าวต่อว่าต้องยอมรับว่าชาวบ้านเดินเกมผิดที่ในครั้งแรกไม่ได้ปฏิเสธให้จริงจัง
แต่มาจากการที่ไม่ได้เตรียมข้อมูลมามากพอ ซึ่งในการทำประชาพิจารณ์คราวหน้าจะร่วมมือกับชาวบ้านที่เหลือเพื่อปฏิเสธการสร้างเหมืองให้จริงจังมากขึ้น
เพราะนอกจากการทำเหมืองจะไม่มีประโยชน์กับชาวบ้านในหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่
ทำนา และค้าขายแล้ว ผลประโยชน์ก็เข้าไม่ถึงชาวบ้านบ้านบอมอยู่ดี และยังมีปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าว
เพราะชาวบ้านจากบ้านแม่ทานบอกกับเขาว่า บริษัทมักจะไม่จ้างคนในชุมชน ถึงจะมีการจ้างแต่มักไม่ใครทำเพราะค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่
300 บาทเท่านั้น ไม่มีใครเขาเอาสุขภาพไปแลกกับเงินจำนวนเท่านี้
การต่อต้านในครั้งนี้ทางแกนนำทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เพราะการต่อสู้กับบริษัทใหญ่ต้องป้องกันตัวเองไว้ให้ ป้ายทุกป้ายที่ติดตามหมู่บ้านขออนุญาตจากส่วนราชการทั้งหมด
วันที่ชาวบ้านมีการประชุมเพื่อรับทราบเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบจากเหมืองก็มีตำรวจเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยจำนวนมาก
· เสียงจากชาวบ้านบอม
นายธนวัต วงศ์พรม ชาวบ้านบ้านบอม
กล่าวว่าเขาต่อต้านเหมืองลิกไนต์เพราะพื้นที่ป่าที่จะทำเหมืองเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์และเป็นป่าต้นน้ำของหลายชุมชน
พอชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ว่าจะมีการสร้างเหมืองก็ต่อต้านแต่จะผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากกว่า
ส่วนมากคนที่ต่อต้านจะเป็นคนที่มีลูกอายุน้อย เพราะกลัวลูกได้รับผลกระทบจากมลพิษ
การทำประชาพิจารณ์ครั้งแรกที่บริษัทเอกชนและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปางมาที่หมู่บ้าน
เหมือนเป็นการมาหยั่งเชิงกระแสจากชาวบ้านเพียงเท่านั้น
ปกติในช่วงหน้าแล้งมักจะมีปัญหาไฟป่าอยู่แล้ว
ยิ่งมีเหมืองในพื้นที่จะทำให้มีฝุ่นมากขึ้นไปอีก
เพราะการทำเหมืองมีการขุดเจาะตลอดทั้งปี ส่วนชาวบ้านที่เห็นด้วยกับการสร้างเหมือง
เป็นเพราะหวังจะร่ำรวยจากการขายที่ดิน ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นที่ดินของส.ป.ก.
(สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) ไม่สามารถขายได้
คงได้รับเพียงเงินเวนคืนเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“โรคที่จะมากับเหมือง
ไม่คุ้มกับที่เสียไป เราอยู่ของเราแบบนี้ ไม่เดือดร้อน ส่งลูกเรียนได้
ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ” นายธนวัตกล่าว
· ผู้เฒ่าบ้านบอมห่วงน้ำแห้ง
ผู้เฒ่าผู้แก่
อดีตแกนนำเป็นทางการจากหมู่ 1 ต.บ้านบอม กล่าวว่า อ่างแม่กองอยู่ห่างจากหมู่บ้าน 7
กิโลเมตร ซึ่งน้ำในอ่างไหลมาจากห้วยแม่กอง เป็นแหล่งน้ำให้ชาวบ้านเกษตรกรรมกว่า
2,000 ไร่ และเหมืองที่จะสร้างตั้งอยู่เหนือห้วย จะทำให้น้ำไม่ไหลลงอ่าง
ชาวบ้านเหล่านั้นจะได้รับผลกระทบ นอกจากนั้นยังเป็นห่วงเรื่องสารเสพติด มลพิษ
สารพิษจากควัน ซึ่งคนบ้านหมู่6 จะเสียเปรียบมากที่สุด เพราะคนในบ้านหมู่6 มีที่นาติดอ่างแม่กอง ส่วนหมู่1 กับหมู่5
ใช้น้ำจากอ่างแม่วะ จึงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไร ทางบริษัทเอกชนที่ทำเหมืองมีคำอธิบายว่า
ในกรณีที่อ่างแม่กองเหือดแห้งนั้น จะแก้ปัญหาด้วยการต่อท่อจากอ่างแม่วะมายังอ่างแม่กอง
ความยาวทั้งสิ้น 8 กิโลเมตร แต่คำถามคือ จะเอางบมาจากไหน ทำได้จริงหรือไม่ อีกทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมจากผู้อาศัยอยู่ที่
ต.บ้านแม่ไท ซึ่งอยู่ห่างจากเหมืองแม่ทาน 20 กิโลเมตร ที่ยืนยันว่า
ยังมีการได้กลิ่นเผาไหม้และควันไฟ แสดงว่า
บ้านบอมที่ห่างจากเหมืองที่จะก่อสร้างเพียง 7 กิโลเมตร จะได้รับผลกระทบแน่นอน
· อำเภอรับทราบข้อคัดค้าน
นางสุรีย์ มาปลูก นายอำเภอแม่ทะ กล่าวว่า
อำเภอแม่ทะได้รับทราบข้อคัดค้านของชาวบ้านบ้านบอมแล้ว
และได้ส่งรายงานไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งมีการสอบถามไปที่บริษัทปูนซีเมนต์
(ลำปาง)
ถึงกรณีดังกล่าวแต่ได้รับการตอบกลับว่าเป็นการดำเนินงานของบริษัทแม่ที่กรุงเทพมหานคร
อีกทั้งการดำเนินการสร้างเหมืองจะไม่ได้เกิดขึ้นภายในเร็วๆ นี้แน่นอน
เพราะยังไม่ผ่านการประชาพิจารณ์และยังต้องมีการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ซึ่งตอนนี้การดำเนินการยังอยู่ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง ต้องติดตามต่อไป
ส่วนการคัดค้านการก่อสร้างเหมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นในอำเภอแม่ทะแม้จะมีการก่อสร้างเหมืองมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
· รอคำวินิจฉัยจากส่วนกลาง
นางสาวศุภารัตน์ สีมะสิงห์
นักวิชาการอุตสาหกรรมปฏิบัติการ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง กล่าวว่า
หลังจากชาวบ้าน ต.บ้านบอมคัดค้านการสร้างเหมือง
ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปางจึงต้องทำรายงานประกอบกับรายละเอียดการสร้างเหมืองของบริษัทเอกชน
ไปให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่พิจารณา
ซึ่งตอนนี้เรื่องเข้าสู่ส่วนกลางแล้ว ไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้
โดยผลจากการวินิจฉัยเป็นไปได้สามแบบ คือ
หากไม่สามารถวินิจฉัยได้ก็คงต้องทำประชามติตัดสินใจ หากวินิจฉัยอนุมัติให้บริษัทเอกชนทำเหมือง
ก็ต้องส่งเรื่องต่อไปยังกรมป่าไม้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำประชาพิจารณ์ใหม่อีกครั้ง
หรือหากผลออกมาว่าไม่อนุมัติเรื่องก็ถือเป็นอันยุติ
และอาจจะมีแจ้งให้ประชาชนผู้เกี่ยวข้องทราบว่าการทำเหมืองถือว่าหยุดการดำเนินการแล้ว
ซึ่งต้องรอให้ส่วนกลางเป็นผู้ตัดสินใจ
· ป่าไม้ยังไม่ได้ลงพื้นที่
นายชูเกียรติ พงศ์ศิริวรรณ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง)
กล่าวว่า ในกรณีของเหมืองถ่านหินลิกไนต์บ้านบอม สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ยังไม่ได้ลงไปเห็นพื้นที่จริง
เนื่องจากยังไม่ถึงขั้นตอนในการที่สำนักงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปางยื่นเอกสารขออนุญาตต่อสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้
แต่โดยระเบียบแล้ว จะต้องดูว่าในการสร้างเหมือง จะใช้พื้นที่ป่าแบบไหน
ซึ่งหากเป็นป่าสมบูรณ์จะไม่สามารถอนุญาตให้สร้างได้ ต้องเป็นป่าเสื่อมโทรม
และต้องดูว่าชาวบ้านจะได้รับผลกระทบหรือไม่ด้วย
· บทเรียนจากแม่เมาะ
นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์
ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ กล่าวว่า
บทเรียนการสร้างเหมืองถ่านหินสามารถดูได้จากการสร้างเหมืองแม่เมาะ
แม้ว่าเป็นเหมืองขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์มากมาย แต่ผลกระทบมีมากกว่านั้น
สิ่งที่ได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป
ผู้ประกอบการได้ผลประโยชน์แต่พื้นที่ชุมชนเสียประโยชน์ท
ไม่เคยมีบริษัทไหนกล้าบอกว่าผลเสียที่เกิดขึ้นกับรายได้ที่จะได้รับจะคุ้มค่า
การจะสร้างเหมืองที่บ้านบอมมีผลกระทบแน่นอน
คำถามที่ตามมาคือเหมืองจะป้องกันซัลเฟอร์ที่เกิดจากลิกไนต์สันดาบตัวเองอย่างไร ใช้เครื่องกรองตัวไหน
บริษัทต่างๆ ที่บอกกับชุมชนว่าจะสร้างสวัสดิการ สร้างรายได้
สร้างอาชีพให้คนในชุมชนล้วนเป็นโฆษณาชวนเชื่อ ในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้
กองทุนพัฒนาไฟฟ้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะมีสักกี่คนที่ได้รับ ในเรื่องการจ้างงานสร้าง
ถามว่าคนในชุมชนที่ไม่มีความรู้ จะเข้าไปทำในตำแหน่งอะไร
เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย เป็นคนทำความสะอาด หรือเป็นวิศวกร
“มะลิวรรณฝากถึงชาวบ้านบอม
ให้ยกแม่เมาะเป็นกรณีตัวอย่าง เป็นอาจารย์ใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไร
ให้ลองย้อนไปดูเหมืองในประเทศไทยที่ผ่าน ๆ มา ไม่เคยมีเหมืองต้นแบบในการฟื้นฟูที่แท้จริง”
นางมะลิวรรณกล่าว
· บทเรียนจากเหมืองเพื่อนบ้าน
นางสาวนัด (นามสมมติ)
ชาวบ้านแม่ทานที่เติบโตมากับเหมือง กล่าวว่าสาเหตุที่ไม่มีชาวบ้านแม่ทานออกมาประท้วงเรื่องการทำเหมืองแม่ทาน
เพราะเหมืองเกิดขึ้นตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ยุคที่ยังไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ ชาวบ้านจึงไม่สามารถหาความรู้ได้เหมือนในปัจจุบัน
พอไม่มีความรู้จึงไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลอะไรไปต่อรองกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
และสมัยนั้นเขาก็ยังเด็ก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นและไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง
แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหมืองมาตลอด 50 ปี ก็พบว่าเหมืองได้สร้างผลกระทบมากมาย
ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศที่ลิกไนต์สามารถเผาไหม้ตัวเองได้
หรือฝุ่นในการเปิดหน้าดินที่ทำให้อากาศเป็นพิษ
ซึ่งการระเบิดเหมืองเปิดหน้าดินนั้นทำกันทั้งวันทั้งคืน ทำให้เกิดมลพิษทางเสียง
และยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งบางพื้นที่เป็นป่าสมบูรณ์ ปัญหาสุดท้ายคือเรื่องน้ำ
ไม่ว่าจะน้ำปนเปื้อนสารพิษ จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของเหมือง และน้ำแห้ง
เพราะน้ำใต้ดินไหลลงไปในเหมืองหมด และบางทีเหมืองไปสร้างครอบป่าต้นน้ำและห้วยต่าง
ๆ ทำให้น้ำไม่ไหลลงอ่างเก็บน้ำ
แม้ก่อนสร้างเหมืองทางบริษัทสัญญากับชาวบ้านว่าจะมีการจัดสวัสดิการดูแลให้แก่ชาวบ้าน
แต่เงินช่วยเหลือที่ได้รับการจัดสรรมานั้นก็ไม่ถึงชาวบ้าน
และชาวบ้านไม่ได้รับผลประโยชน์โดยตรง ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น
การคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งเทศบาล อบต. และผู้ใหญ่บ้าน
นอกจากนั้นเมื่อสัมปทานเหมืองสิ้นสุดลง บริษัทก็ไม่ทำตามสัญญาที่จะฟื้นฟูพื้นที่
“ตลอด 50 ปีที่มีเหมืองมา ไม่มีอะไรเจริญขึ้น ถ้าอยากได้เงินช่วยเหลือ
ก็ต้องไปขอไปไหว้เอา ถ้าไม่พูดอะไรเขาก็ไม่ให้ และไม่มีใครเคยรวยจากการทำเหมือง” นางสาวนัดกล่าว
· ทำงานเหมือง งานหนัก
เงินน้อย
นายตุ๊ (นามสมมติ) ชาวบ้านที่เคยทำงานในเหมือง
กล่าวว่าหลายสิบปีก่อนช่วงที่เหมืองยังคงมีอัตราการผลิตเต็มที่มีคนในหมู่บ้านประมาณร้อยละ
70 เลือกที่จะไปทำงานในเหมืองเหมือง มีแค่ร้อยละ 30 ที่ยังประกอบอาชีพเกษตรกร เนื่องจากชาวบ้านเห็นด้วยกับเหมืองแต่เป็นแค่คนงานระดับล่าง
ใช้แรงงานหนัก ได้ค่าแรงน้อย เพียงวันละ 300 บาท
เหมือนเอาชีวิตเอาสุขภาพไปเสี่ยง ชาวบ้านหลายคนที่มีที่ดินก็นำที่ดินไปขาย
ได้เงินมาจนร่ำรวย แต่ในปัจจุบันนี้มีชาวบ้านที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการทำเหมือง
จำนวนคนที่เข้าไปทำงานในเหมืองจึงลดเหลือประมาณร้อยละ 20 แต่ก็ยังมีเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่เรียนจบแล้ว
ที่เลือกกลับมาทำงานในเหมือง เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็น การทำงานในเมืองนั้นไกลบ้าน
ค่าครองชีพสูง กลับมาทำที่บ้านดีกว่า
ปัจจุบันนี้เหมืองแม่ทานหยุดการขุดเจาะไปแล้ว
เพราะมีการเปิดหน้าดินไปจนติดถนนใหญ่ไม่สามารถขยายต่อได้
จึงต้องเปลี่ยนไปทำที่หมู่บ้านใกล้เคียง เช่น บ้านบอม บ้านกิ่ว เป็นต้น
ถึงแม้ว่าจะหยุดการขุดเหมืองไปแล้ว แต่ก็ยังมีกระบวนการอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่
เช่น ยังมีการขายดินขาว บอลเคลย์
เพราะมีการกักตุนไว้ที่เหมืองแม่ทานจำนวนมากมาหลายสิบปีแล้ว
และเพิ่งมีการสร้างโรงโม่ดิน มีการเข้าออกของรถบรรทุกตลอดเวลา
เพราะประทานบัตรของพื้นที่แปลงนี้จะหมดอายุในปีพ.ศ. 2575 และชาวบ้านไม่รับรู้เรื่องแผนการฟื้นฟูว่าสุดท้ายแล้วหน้าตาของเหมืองหลังปี
พ.ศ.2575 จะเป็นอย่างไร
· กรีนพีซยัน
ไม่ควรใช้ถ่านหินในทุกกรณี
นายธารา บัวคำศรี
ผู้อำนวยการกรีนพีซประจำประเทศไทย กล่าวว่า เหมืองถ่านหินไม่ควรเกิดขึ้นและไม่ควรมีการใช้พื้นที่ป่าทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นป่าสงวนหรือป่าชุมชน
ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรมีการนำถ่านหินมาใช้เพราะไม่ได้กระทบเพียงพื้นที่รอบข้างของการทำเหมืองเท่านั้น
แต่กระทบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งถ่านหิน มลพิษทางอากาศจากการเอาเชื้อเพลิงถ่านหินไปเผา
จนกระทั้งการจัดการมลพิษและการกำจัดเศษถ่านหิน ต่อให้เหมืองมีขนาดเล็กแค่ไหน
กระทบน้อยแค่ไหนก็ไม่สมควร เพราะเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เป็นเป้าหมายของประเทศไทยไทยและทั่วโลกซึ่งกำลังประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ชุมชนควรลุกขึ้นมาขับเคลื่อน ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นนั้นมากกว่าเรื่องของการใช้ทรัพยากร
ต้องใช้สิทธิที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญ ในการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่ส่งผลกระทบกับพวกเขา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1250 วันที่ 29 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น