
โบราณว่าเหมือน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เศรษฐกิจซบเซามาเป็นระรอก
หวังจะคึกคักเงินสะพัดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
แต่ทุกวันนี้คนลำปางต้องเจอกับปัญหาสภาพอากาศปิด ด้วยหมอกฝุ่นควัน PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานสูงปรี๊ด
แถมด้วยข่าวโรคระบาดไวรัสโคโรน่าจากจีน ซึ่งมีคนตามกระแส แชร์ทั้งข่าวลวงข่าวปลอมกันแพร่หลายในโซเชียล ทำเอาเศรษฐกิจซบลงหนักกว่าเดิม
เพราะบางส่วนเก็บตัว บางคนไม่กล้าออกมาเผชิญมลพิษนอกบ้าน กิจกรรมกลางแจ้ง
ตลาดนัดเดินเล่น คลองถม หรือแม้กระทั่งถนนคนเดิน ก็เงียบเหงากว่าปกติอยู่มาก
ผลกระทบนี้ปฏิเสธไมได้ว่า คนลำปางบางส่วนย่อมตื่นตระหนกมากเป็นพิเศษ
ส่งผลถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง
ว่าจะแก้ปัญหานี้ไหวหรือไม่? คำถามเสียดแทงถึงผู้ว่าราชการจังหวัดมากมาย ว่า “แก้ไขอย่างไร..ไหวไหม..ทำอะไรบ้างไหม... ทำได้หรือเปล่า??” อีกหลายคำถามมากมาย
ซึ่งหลายภาคส่วน ในเอกชน และประชาชน มักเสียดสีประโยค
ที่อ้างขึ้นเป็นว่าคำพูดในวงประชุมที่เกี่ยวข้องกับงานแก้ปัญหาหมอกควันว่า
“จะให้ผมทำยังไง?”
เหมือนเป็นปัญหาโลกแตก ที่หาข้อลงตัวไม่ได้ระหว่างผู้ถามกับผู้ตอบ
ประเด็นของเรื่องฝุ่นควันในลำปางนี้ มีแต่คนมุ่งไปที่เรื่องสาเหตุจากการเผาของชาวบ้าน
เกษตรกร และคนมือบอนเผาป่า
ประกาศห้ามประกาศจับรายเล็กรายน้อย เชือดไก่ให้ลิงชมกันเป็นกรณีจุ๋มจิ๋ม
แต่ก็ยังดี
ที่ทำให้คนไม่กล้าเผา..และลดอัตราการเพิ่มฝุ่นควันในอากาศได้ในระดับหนึ่ง
แต่ยังไม่มีใครออกมาพูดถึง โรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่และ
โรงงานตามชุมชนที่มีการเผาเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตกันบ้างไหม อย่าลืมว่าสภาวะอากาศปิดให้ให้เกิดฝุ่นควันขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น ก็มีองค์ประกอบ สาเหตุมาจากอื่นๆด้วยในลำปาง
เช่น โรงงานที่มีการเผาปล่อยมวลฝุ่นควันขึ้นทางปล่องควัน หรือโรงงานเซรามิก
ที่มีฝุ่นควันจากกระบวนการผลิตปะปนไปในอากาศกันมากน้อยแค่ไหน
เคยมีใครเข้าไปวัดค่ากันบ้าง อันนี้น่าสนใจ
ประเด็นเครื่องวัดสภาพอากาศของฟากรัฐบาล กับฟากของประชาชน
ที่เป็นประเด็นว่า วัดค่าได้ต่างกัน
ต้องถามว่ามีฐานของสูตรการวัดค่าและแสดงผลเดียวกันหรือไม่ เพราะมันกลายเป็นเรื่องของการประโคมข่าวว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ปกปิดข้อมูล หรือพูดไม่จริง
อากาศวิกฤตเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนออกมาบ่นผ่านโซเชียล
และกลายเป็นช่องทางของการเมือง ช่วงหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นจะหาพวก สร้างผลงาน
หรือแม้กระทั่งโจมตีใครในภาวะชุลมุนที่ต้องเสพข้อมูลที่มีข้อเท็จจริงกันไปยาวๆ
อาจจะยากสำหรับการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง
แต่การยับยั้งช่างใจ ลดการแชร์ข้อมูลแบบมันมือ
ก็น่าจะชาวลดปัญหาความคลาดเคลื่อนของข่าวสารกันลงบ้าง
ลำปาง เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในกระแสใหญ่ระดับชาติเสมอ
คนลำปางเองก็ต้องเรียนรู้การตรวจสอบข้อมูลก่อนจะเชื่อถือในทันที
สิ่งที่น่าสนใจว่าใครจะลุกขึ้นมาผลักดันความร่วมมือสร้างพลังหมู่ให้แก้ปัญหาเชิงบวก
มากกว่าออกมาร่วมถล่มวิจารณ์ แต่ไม่ทำอะไร บ้านเมืองจะผ่านวิกฤติไปได้อย่างไร ..
ใครยืนอยู่หัวแถว ก็ต้องโดนเล็งจับตา
..อย่าให้ลำปางวิกฤตซ้ำ สังคมป่วยด้วยวิจารณ์แต่ไม่ทำอะไร
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น