วันที่
23 ก.ค.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมครม.
มีมติเห็นชอบแนวทางการตรึงค่าไฟเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับประชาชนงวดเดือน ก.ย.
ถึงเดือน ธ.ค. 2567 เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ในอัตรา
3.99 บาทต่อหน่วย ส่วนประชาชนที่ใช้ไฟเกิน 300 หน่วยต่อเดือนขึ้นไป เรียกเก็บในอัตราคงเดิมที่
4.18 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้
ครม.ยังเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33
บาทต่อลิตร ไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.2567 ตามความสามารถของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
จากปัจจุบันกำหนดไว้จะสิ้นสุดวันที่ 31 ก.ค.นี้
นายพีระพันธุ์
กล่าวว่า ความจริงเนื้อน้ำมันของไทยอยู่ที่ประมาณ 20 บาทกว่าต่อลิตร
ไม่ต่างจากราคาน้ำมันในประเทศมากนัก แต่สาเหตุที่ราคาน้ำมันในประเทศไทยสูงถึง
38-40 บาทต่อลิตร เพราะน้ำมันของไทยมีส่วนผสมของไบโอดีเซลและเอทานอล
ซึ่งในอดีตมีราคาถูกกว่าน้ำมัน
แต่ปัจจุบันทั้งไบโอดีเซลและเอทานอลราคาแพงกว่าน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันของไทยแพงกว่าต่างประเทศ ประกอบกับภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ในอัตรา
5.99 บาทต่อลิตร สูงกว่าประเทศสิงโปร์ที่เรียกเก็บภาษีในอัตรา 5.54 บาทต่อลิตร
และประเทศเวียดนามเรียกเก็บภาษีในอัตรา 1.70 บาทต่อลิตร เป็นต้น
ขณะที่
สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 14 ก.ค.2567 ติดลบ 111,855 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,252
ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลวติดลบ 47,603 ล้านบาท
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น