ประชาชนทยอยเดินทางกลับแล้วหลังมาเฉลิมฉลองห้วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และพบว่าการสัญจรทางถนนโดยพาะทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธินขาล่อง ผ่านจังหวัดลำปาง รถสะสมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งระบายรถที่ติดสะสมตามแยกไฟแดงกลายจุด
วันที่ 1 มกราคม 2568 ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา สภาพถนน ทางหลวงหมายเลข 1 หรือ พหลโยธินฝั่งขาล่องไป กทม.ที่บริเวณแยกบ้านห่อน หมู่ 2 ตำบลชมพู อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง พบว่ามีปริมาณรถยนต์สะสมที่แยกแห่งนี้จำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เขลางค์นคร มาบังคับสัญญาณไฟเพื่อเร่งระบายรถที่เดินทางกลับ กทม.กันในห้วงเวลานี้กันจำนวนมาก ทำให้มีรถติดสะสมยาวหลายกิโลเมตร
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ใช้รถใช้ถนนบางคนที่ขับรถแทรกช่องทางซ้ายสุดเข้ามายังช่องทางหลัก หวิดจะเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เพราะต้องการที่จะเร่งเดินทางกลับในห้วงที่รถติดสะสม ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีการขับแทรกต่อเนื่อง
ด้าน พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางหลายหลักในการสัญจรเดินทางกลับของประชาชนนักท่องเที่ยว เบื้องต้นได้กำชับสถานีตำรวจ ที่มีแยกสัญญาณไฟให้จัดำลังไปอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เช่นที่แยกห้างฉัตร ถนนลำปาง-เชียงใหม่ อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ซึ่งพบว่าแยกแห่งนี้มีรถติดสะสมจำนวนมากเพราะเพิ่งเปิดใช้แยกสัญญาณไฟไม่กี่วันนมานี้ จึงต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้างฉัตรไประบาย
และที่ แยกนาก่วม แยกย่าเป้า แยกบ้านฟ่อน ถนนพหลโยธิน ซึ่งอยู่ในเขต สภ.เขลางค์นคร ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกเรียบร้อย เช่นเดียวกับ แยกเกาะคา อำเภอเกาะคา เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.เกาะคาได้อำนวยความสะดวกไว้แล้วเช่นกัน ทั้งนี้ผู้ใช้รถใช้ถนนให้ระมัดระวังเพราะมีรถติดสะสมจำนวนมากแต่ยังเคลื่อนตัวได้ต่อเนื่อง
ด้านศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2568 จังหวัดลำปาง ได้สรุปรายงานสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนฯ ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 สถิติสะสม 5 วัน (27 – 31 ธันวาคม 2567) เกิดอุบัติเหตุ จำนวน 39 ครั้ง บาดเจ็บ จำนวน 42 คน (ชาย 29 คน, หญิง 13 คน) และเสียชีวิต จำนวน 5 ราย (ชาย 4 ราย, หญิง 1 ราย) (อำเภอเมืองลำปาง 3, อำเภองาว 1, อำเภอเถิน 1) โดยมีสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกำหนด ตัดหน้ากระชั้นชิด และทัศนวิสัยไม่ดี ตามลำดับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น