เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ที่พักสงฆ์สถาบันธรรมารภิวัฒน์บ้านสบเติ๋น ต.สบป้าด
อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง คณะสงฆ์ในนามเครือข่ายพระนักพัฒนาชุมชนภาคเหนือ
(คพชน) จำนวน 6 รูป
ประกอบด้วย พระครูสุจิณนันทกิจ เจ้าคณะอำเภอสันติสุข จ.น่าน พระสาธิต ธีรปัญโญ สถาบันธรรมาวัฒน์ พระยงยุทธ ธีปโก วัดป้างงุ้น จ.แพร่ พระครูสุจิณนันทธรรม วัดหนองป่าค่า อ.นาน้อย จ.น่าน พระคงศิลป์ เขื่อนอ้น วัดนิโครธาราม และพระมหาคมสัน
ฐิตญาโณ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ร่วมประชุมแกนนำเพื่อเรียกร้องปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ไทย
หลังเหตุการณ์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ละเมิดพระวินัยและทุจริตคอรัปชั่นส่งผลกระทบต่อศรัทธาของชาวพุทธ
โดยในที่ประชุมได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอการปรับแก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 เสนอต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา
ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร
พระครูสุจิณนันทกิจ
เจ้าคณะอำเภอสันติสุข กล่าวว่า
เหตุการณ์การละเมิดพระวินัยและการทุจริตคอรัปชั่นงบประมาณแผ่นดินและปัจจัยบริจาคของชาวพุทธ
ได้สร้างความสลดหดหู่ในหมู่ชาวพุทธ
โดยกลุ่มที่แยกแยะไม่ได้อาจหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปในที่สุด การปฏิรูปจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน
และสร้างระบบบริหารคณะสงฆ์ให้โปร่งใส ทันสมัย มีส่วนร่วม
โดย
5 แกนหลักในการปฏิรูป ได้แก่
1.การปรับโครงสร้างองค์กร โดยปรับบทบาทมหาเถรสมาคมเป็นหน่วยกำหนดนโยบาย
ไม่รวมศูนย์อำนาจบริหาร ตั้ง
"สภาคณะสงฆ์แห่งชาติ" รวมพระสายต่างๆ และฆราวาสผู้ทรงคุณวุฒิ กระจายอำนาจสู่
"คณะกรรมการบริหารสงฆ์ท้องถิ่น"
2. ธรรมาภิบาลโปร่งใส จัดตั้ง
"สำนักงานตรวจสอบกิจการคณะสงฆ์" เป็นหน่วยอิสระ รายงานบัญชีและกิจกรรมต่อสาธารณะ
ใช้ระบบ e-Governance
3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ตั้ง "สภาวัด"
มีทั้งพระและฆราวาสบริหารร่วมกัน พระทุกสายมีตัวแทนในโครงสร้างปกครอง จัดเวทีปรึกษาหารือประจำปี
4. ระบบการแต่งตั้งโปร่งใส แต่งตั้งสมณศักดิ์ตามหลักคุณธรรม วิชาการ และผลงานมีการสรรหาเจ้าอาวาสและพระสังฆาธิการ
5. พัฒนาองค์กรสู่ความทันสมัยฝึกอบรมพระสังฆาธิการ ด้านบริหารและจริยธรรมพัฒนาคู่มือบริหารคณะสงฆ์
เชื่อมโยงองค์กรพุทธระดับสากล
นอกจากนั้นเครือข่ายฯ
เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปคณะสงฆ์ระดับชาติ
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากพระสงฆ์ทั่วประเทศและประชาชน
ก่อนร่างกฎหมายและข้อบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการทดลองนำร่องในบางจังหวัดหรือเขตการปกครองสงฆ์ก่อนขยายผลทั่วประเทศ
ดั้งนั้น การปฏิรูปครั้งนี้มุ่งให้คณะสงฆ์มีอิสระทางธรรม แต่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ทุกระดับมีบทบาทในการพัฒนาสังคม ทั้งนี้ เครือข่ายฯ จะนำข้อเสนอนี้เสนอต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผ่านทางนายพินิจ ทองคำ ตัวแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ และกรรมาธิการฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
พระครูสุจิณนันทกิจ
กล่าวทิ้งท้ายว่า พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองได้ต้องอาศัยพุทธบริษัทสี่
ซึ่งประกอบด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์
โดยเฉพาะผู้บริหารองค์กร อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนบุคคล
และพุทธศาสนิกชนไม่ควรลืมว่ายังมีพุทธบริษัทอีกสามส่วนที่เหลืออยู่ ดังนั้น หากเรารักพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
ก็อยากให้พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะอุบาสกและอุบาสิกา
มาร่วมมือกันเป็นเสาหลักในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงแข็งแรง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น