ผอ.แขวงทางหลวงลำปางที่
2 ชี้แจงเหตุรถเสียหลัก บริเวณถนนพหลโยธิน ช่วงก่อนถึง รพ.มะเร็งลำปาง
หลังผู้รับเหมาติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยไม่ครอบคลุม ขณะฝนตกกระทันหัน ยืนยันคุมเข้มความปลอดภัย–ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ด้านบริษัทยูพี
คอนกรีต ออกแถลงขอโทษ รับบกพร่องพร้อมเยียวยาผู้เสียหายทั้งหมด
วันที่ 12 พฤศจิกายน
2568 นายสอาด ประจันพล
ผู้อำนวยการแขวงการทางหลวงลำปางที่ 2 ออกมาชี้แจงความคืบหน้าและแนวทางแก้ไข
หลังเกิดอุบัติเหตุหมู่จากถนนลื่นยางมะตอยบนถนนพหลโยธิน ช่วงก่อนถึงโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง
เขต ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง
ซึ่งมีผู้เสียหายรวม 9 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นายสอาด เปิดเผยว่า สาเหตุหลักเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้างและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน โดยในวันเกิดเหตุ ผู้รับเหมาได้ดำเนินการฉีดพ่นน้ำยางมะตอยบนพื้นถนนตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ระหว่างปฏิบัติงานได้มีฝนตกหนัก ทำให้ต้องหยุดงานชั่วคราว และมีการถอนกรวยกั้นช่องทางจราจรออกก่อนเวลา ขณะที่พื้นผิวยังเปียกลื่นอยู่ ส่งผลให้รถที่สัญจรผ่านเกิดอุบัติเหตุหลายคัน
ขณะนี้มีผู้เสียหายทั้งหมด
9 ราย โดยได้รับการประสานงานแล้ว 8 ราย และบางส่วนได้ตกลงค่าเสียหายกับบริษัทประกันภัยและผู้รับเหมาเรียบร้อย
เหลืออีก 1 รายซึ่งเดินทางกลับจังหวัดสุโขทัยหลังเกิดเหตุ
โดยทางผู้รับจ้างจะเดินทางไปพบเพื่อรับผิดชอบค่าเสียหายและค่าทำขวัญถึงพื้นที่
ผอ.สอาด
กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหน้างานด้วยตนเอง
ร่วมกับผู้รับเหมาและทีมวิศวกร พร้อมตรวจเช็กการติดตั้งป้ายเตือน กรวยกั้น
และมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
ขณะนี้โครงการก่อสร้างถนนดังกล่าวยังดำเนินการต่อเนื่อง ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายเดือนธันวาคมนี้
นอกจากนี้
แขวงการทางหลวงฯ จะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
ตรวจสอบมาตรฐานการทำงานของผู้รับเหมา และหามาตรการป้องกันเพิ่มเติมตามระเบียบ
เพื่อยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง
ด้าน บริษัท ยูพี
คอนกรีต จำกัด ผู้รับเหมาในโครงการดังกล่าว ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 08.30
น. บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงสามัคคี–บ้านหวด
ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพ่นน้ำยาง (Tack Coat) เพื่อเตรียมปูยางแอสฟัลต์
บริษัทฯ
ยอมรับว่ามีความบกพร่องในกระบวนการควบคุมพื้นที่
โดยเฉพาะการจัดวางสัญญาณเตือนความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอในขณะปฏิบัติงาน
และขอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพื้นที่ พร้อมปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
ทั้งในด้านการติดตั้งสัญญาณเตือน การควบคุมพื้นที่ก่อสร้าง
และการอบรมเจ้าหน้าที่ภาคสนามเพิ่มเติมทันที
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ติดต่อผู้เสียหายทุกคนเพื่อดำเนินการเยียวยาอย่างเหมาะสม พร้อมยืนยันว่า “ความปลอดภัยของประชาชนและผู้ใช้เส้นทางคือสิ่งสำคัญสูงสุด” และจะนำเหตุการณ์ครั้งนี้มาเป็นบทเรียนในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานและความปลอดภัยในทุกโครงการต่อไป










.jpg)



0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น