เชียงตุง ไม่คล้ายร่างกุ้ง แม้จะอยู่ในดินแดนพม่าด้วยกัน
หากเชียงตุงคือถิ่นฐานของไทยใหญ่ ชนกลุ่มน้อย ไทยใหญ่พูดภาษาไทย
กินอยู่คล้ายเมืองไทย เราจึงเหมือนไม่ใช่คนต่างถิ่น
หรือคนแปลกหน้าในการมาเยี่ยมเยือนเชียงตุงครั้งนี้
ไม่บ่อยนักที่ แร็ค ลานนา
จะออกเดินทางในฐานะคนข่าวรับเชิญ เนื่องเพราะเวลาที่มีจำกัด
ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่เมื่อวันที่ 28 มีนาที่ผ่านมา
จะบอกว่าเป็นเพราะโชคชะตาพาไปก็ว่าได้
เพราะเพิ่งเสร็จงานใหญ่บวกกับหนึ่งในภาระงานสอนก็อยู่ในช่วงปิดเทอม ทำให้ แร็ค
ลานนา ได้มีโอกาสไปเยือนเชียงตุงกับโครงการชุมชนมรดกโลก
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงแห่งเมียนมาร์กับประเทศไทย
โดยใช้ดนตรีและกีฬา สื่อสากลที่ไม่ต้องใช้ภาษาก็สามารถเข้าใจกันได้
ประเด็นหลักของ
“งานสานสัมพันธ์...ดนตรีกีฬา เมียนมาร์-ไทย” ในครั้งนี้มีเป้าประสงค์ในปี 2020 นั่นคืออีก
6 ปีข้างหน้า เพื่ออนุรักษ์เมืองเชียงตุง ไม่ให้เกิด Culture Shock
จนทำลายเสน่ห์ของเมืองนี้ไป
ระยะทาง 170 กิโลเมตร
จากด่านแม่สายผ่านท่าขี้เหล็ก
มุ่งหน้าสู่เชียงตุงหากเป็นการเดินทางในประเทศไทยระยะทางเพียงเท่านี้คงใช้เวลาเพียง
2 ชั่วโมง แต่ด้วยเส้นทางการเดินทางเป็นถนนลูกรัง แถมยังเดินทางในช่วงกลางคืน
ทำให้ใช้เวลาเดินทางเพิ่มเป็นเท่าตัว แต่เมื่อได้ถึงจุดหมายหมายที่เชียงตุง แร็ค
ลานนาแอนด์เดอะแก๊งค์ ก็ไม่รอช้ามุ่งหน้าเข้าร่วมถนนคนเดินแบบฉบับชาวเชียงตุง
ที่จะมีอาหารพื้นเมืองรอให้คนต่างถิ่นได้ลิ้มชิมรสชาดอันเป็นเอกลักษณ์ที่มาจากการผสมผสานวิถีชาวเมียนมาร์และชาวไต(ไทย)ใหญ่
ที่น่าแปลกคือรสชาดถูกปากคนไทยได้อย่างได้น่าประหลาด ทั้งข้าวกั๊นจิ้น
ข้าวซอย(ก๋วยเตี๋ยว) แว๊ดตาต๊กโท๊ะ(คล้ายพะโล)
โดยเฉพาะตลาดเช้าที่พลาดไม่ได้เพราะเราจะได้เห็นวิถีเมืองแบบไร้สิ่งเจือปนในราคาที่ไม่ได้เอาเปรียบนักเดินทางต่างถิ่นเลย
การท่องเที่ยวแบบ
แร็ค ลานนา นั้นไม่ยากเลย
เพราะแต่ละทริปที่ได้ไปไม่เคยคาดหวังว่าต้องได้รับการดูแลอย่างบุคคล VIP
ในฐานะฐานันดรที่ 4
ทำให้เราได้สัมผัสกับเนื้อแท้ของวัฒนธรรมที่ไม่ประดิษฐ์สร้างภาพใดๆทั้งสิ้น
เชียงตุงเป็นเมืองเล็กๆที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลา
รอรัฐบาลปล่อยไฟในช่วงหัวค่ำถึงราวๆสี่ทุ่ม หากต้องการไฟต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟ
น้อยครอบครัวที่จะติดตั้งระบบโซลาร์เซล แต่ถึงกระนั้นหลังพระอาทิตย์ลาลับฟ้า
อากาศในพื้นที่นั้นกลับเย็นสบาย การสื่อสารก็ไม่ยากเพราะคนในพื้นที่พูดไทยได้
มีสินค้าจากประเทศไทยเกือบทุกอย่าง แต่ที่น่าสนใจคือตึกรามบ้านช่องแบบดั้งเดิมด้วยรูปทรงสถาปัตยกรรมที่คลาสสิกและวิถีชีวิตที่ไม่พึ่งพาความทันสมัยเกินความจำเป็น
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเสน่ห์ที่จะเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความเรียบง่าย
แต่หากเทคโนโลยีมาทำให้วิถีเชียงตุงเปลี่ยนไปอาจทำให้คนท้องถิ่นตั้งรับไม่ทันก็เป็นได้
เพราะตอนนี้ปัญหาที่เชียงตุงกำลังเผชิญหน้าในระบบสาธารณสุข
ระบบการกำจัดขยะยังไม่ดีพอ ชยะพลาสติกมากมายไร้ที่ทิ้ง
แถมพ่วงด้วยปัญหาวัชพืชน้ำอย่างผักตบชวาเบ่งบานในแหล่งน้ำทั้งที่เชียงตุงไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย
มีเพียงชุมชนและเกษตรกร
และนั่นคือโจทย์ที่คนในพื้นที่และโครงการชุมชนมรดกโลกต้องทำการบ้านต่อไป
เหมือนที่บาหลี หลวงพระบาง ตึกรามบ้านช่อง
ขุนเขาลำเนาไพร ยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้ได้ ความเป็นเมืองมรดกโลก
ก็จะเป็นกำแพงขวางกั้น มิให้ความเจริญทางด้านวัตถุ มาทำลายคุณค่าของเชียงตุงไปได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 971 ประจำวันที่ 4 - 10 เมษายน 2557)