เมื่อเมืองขยายตัว ความเจริญที่แสดงออกด้วยสัญลักษณ์ห้างสรรพสินค้าต่างถิ่น
คอนโด หมู่บ้านจัดสรร วิถีคนบางกอกที่คืบคลานเข้ามา
คนท้องถิ่นทิ้งไร่นามาเป็นลูกจ้างในภาคบริการ วิถีชาวบ้าน
วัฒนธรรมพื้นถิ่นถูกลืมเลือน ความภาคภูมิใจในความเป็นคนเมืองลำปางกำลังจะหายไป
หายไปพร้อมๆกับการอบรมบ่มเพาะวิชาความรู้ที่สอนความเป็นมนุษย์ให้กับเด็กๆ
ย้อนเวลาถอยหลังไปสมัย แร็ค ลานนา
เป็นเด็กน้อยผูกผมเปีย ความทรงจำในวัยเด็กประถม จำได้ว่าต้องเรียนหนังสือหลายวิชา
ไม่ว่าจะเป็นวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย
สปช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) สลน. (สร้างเสริมลักษณะนิสัย) กพอ.
(การงานพื้นฐานอาชีพ)
มาตอนนี้วิชาเหล่านี้หายไป กลายเป็นวิชาอื่นๆด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น
สอดรับกับพัฒนาการของสังคม ดังนั้นการปรับปรุงเนื้อหาโดยที่ยังคงหลักใหญ่ใจความของพื้นฐานองค์ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
การ
จัดการศึกษาทุกวันนี้แบ่งเป็นเนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนเป็นกลุ่มสาระ
โดยในแต่ละกลุ่มสาระก็จะมีหลายวิชาประกอบ
โดยเนื้อหาความรู้ก็ยังคล้ายกับที่เรียนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
แต่ผ่านกระบวนการบริหารจัดการเสียใหม่
ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากเราลองฟังเสียงเด็กๆข้างกายเราจะเห็นว่ามีเสียงโอดโอย
กับกองการบ้านที่พะเนิน
เพราะทุกวิชาต่างก็มีการบ้าน โครงงาน รายงาน ทั้งกลุ่มทั้งเดี่ยว
แม้แต่วิชาพละศึกษาที่สมัยก่อนเราเรียนทฤษฎีและปฏิบัติ
ออกกำลังกาย กลายเป็นว่าทุกวันนี้มีการบ้านเป็นรายงานวิชาพละ!!
แน่นอนว่าการจัดการศึกษาตามแนวทางของประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่วิชาต่างๆจะโน้มไปในลักษณะที่เอื้อแก่การใช้ชีวิตในสังคม
ชุมชนเมืองเป็นส่วนใหญ่ เหมือนกับว่าการศึกษาบ้านเราให้การศึกษาเพื่อผลิตมนุษย์ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมแรงงาน
เรียนสูงๆเพื่อมาทำงาน ป้อนทัศนคติว่าอาชีพที่ดีคืออาชีพที่ทำเงินมากๆ ไม่ได้แนะนำแนะแนวให้เยาวชนได้มีวิธีการคิดเป็นของตัวเอง
ดังนั้นในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งจึงเกิดค่านิยมแห่กันไปเรียนวิศวกรรม เรียนแพทย์ จนสังคมตั้งค่านิยมไว้ว่าคนเป็นหมอ
วิศวกร สถาปัตย์ คือคนที่สุดยอด จึงไม่มีใครอยากเป็นเกษตร ชาวนา ชาวไร่
เพราะบอกกันว่าทำงานหนักได้เงินน้อย ทั้งที่ทุกคนต้อง”กิน”
แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกอาชีพสุจริตล้วนมีความสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงได้มีการปรับหลักสูตรขั้นพื้นฐาน โดยในหลักสูตรต้องมีการใส่เนื้อหาท้องถิ่นศึกษาเข้าไป
เปิดโอกาสให้ครูผู้สอนสามารถพัฒนาเนื้อหาสาระที่สอดคล้อง
และดีไซน์การสอนเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละพื้นที่ สามารถ
ปรับเนื้อหาเพิ่มเติมกระบวนการเรียนการสอน
และสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น
เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้สภาพท้องถิ่นและทักษะไปใช้ในการดำรงชีวิตและ
พัฒนาประเทศชาติได้
เหล่านี้ดูจะเป็นคำพูดที่สวยหรูของหอคอยงาช้าง
แต่แปลกตรงที่วิธีการเรียนสมัยนี้ ท้องถิ่นศึกษากลายเป็นวิชาที่เด็ก “ต้อง”เรียน
อย่างเช่นเรียนอู้กำเมือง
ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ควรจะอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันไม่ใช่หรือ
ทุ่งนาที่เคยมีมากมายแม้แต่ในตัวเมืองลำปาง
กลายเป็นว่าทุกวันนี้หมูบ้านจัดสรรจะผุดขึ้นมากมาย
แต่เด็กๆหลายคนกลับไม่รู้ที่นากลางโต้ง
ไม่รู้จักคันนา
หลายสถาบันการศึกษาจึงจัดการการเรียนท้องถิ่นศึกษาโดยการพาเด็กๆไปทุ่งนา
พาไปขี่ควาย
ทั้งที่เกือบทุกอำเภอของจังหวัดลำปางก็ยังมีสภาพความเป็นท้องถิ่นที่สมบูรณ์
และหลายโรงเรียนในเมืองกลับเลือกที่จะพาเด็กนักเรียนไปดูทุ่งนาที่ต่าง
จังหวัดซะอย่างนั้น
หลายๆอย่างที่เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้จากครอบครัวได้จากสภาพแวดล้อม
กลับกลายเป็นว่าต้องมาถูกบรรจุจำกัดอยู่ในโรงเรียน
ได้
มีนักวิชาการลำปางกลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปางได้ทำการศึกษาองค์
ความรู้เรื่องภูมิปัญหาท้องถิ่นของลำปาง
ไม่ว่าจะเป็น ข้าวแต๋น น้ำปู๋ น้ำผัก มีการรวบรวมวิถีชาวบ้าน
กระบวนการผลิตอาหารท้องถิ่นที่นับถอยหลังวันสูญหายโดยเฉพาะน้ำผักของดีเมือง
แจ้ห่มที่เหลือคุณยายวัย80
ปี ทำอยู่คนเดียว
โดยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวละครในรูปแบบนิทานเรื่องเล่า “บทเรียนแห่งท้องทุ่ง โรงเรียนแห่งชีวิต” บทเรียนที่ขัดเกลาภาษาโดยอาจารย์ภาษาไทย
และมีดัชนีคำเมือง เพื่อความเข้าใจหากนำไปเผยแพร่ให้แก่จังหวัดอื่น นี่อาจจะเป็นก้าวเล็กๆเพื่อท้องถิ่นศึกษา
ที่แฝงมิติอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่ดูจะเป็นแบบเรียนที่หลุดกรอบแบบแผนการศึกษาในยุคปัจจุบันที่ยึดติดอยู่ในกรอบ
โดยไม่ดูบริบทตัวนักเรียน
จำได้ว่าสมัยก่อนในวิชาภาษาไทยจะมีหนังสืออ่านนอกเวลาให้อ่านแทบทุกเทอม
แล้วตรวจวัดความเข้าใจด้วยแบบทดสอบสั้น ซึ่งในสมัยนั้นจำได้ว่าเพื่อนๆหลายคนติดนิสัยรักการอ่านไปโดยปริยาย
แต่สมัยนี้นอกจากวิชาที่มากขึ้น การบ้านที่มากขึ้น
เนื้อหาวิชาทั้งหลายก็ดูจะมีแต่ตัวหนังสือ ในขณะที่เราต้องการให้เด็กๆของเรา
คิดได้คิดเป็น หลายอย่างที่กระบวนการสอนสวนทางกับเป้าหมายที่เราต้องการ
วันนี้การอ่านไม่จำเป็น
การใช้ความคิดไม่สำคัญ หากรู้จักเชื่อฟังก็เพียงพอแล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1005 ประจำวันที่ 21 - 27 พฤศจิกายน 2557)