ทั้งที่ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีความรู้อะไรเกี่ยวกับสื่อ
แต่เมื่อมีคำสั่งให้ทหารเข้ามามีบทบาท ประทับตราความเป็นสื่อที่ไว้วางใจได้
(สำหรับทหาร) การปลดปล่อยวิทยุชุมชนเมื่อราวต้นปีนี้ เราจึงเห็นท็อปบู๊ตขวักไขว่
เข้ามาจัดระเบียบก่อนการอนุญาตให้ออกอากาศ
เนื่องเพราะคำสั่งที่ไม่ต้องถามเหตุผลจากผู้บังคับบัญชา
ชีวิตทหาร
เมื่อเป็นชั้นผู้น้อยมีหน้าที่แค่ฟังผู้บังคับบัญชา
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็มีหน้าที่สั่ง คนเป็นทหารจึงคุ้นเคยกับการ “สั่ง” และ “ฟัง”
มากกว่าโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล นี่เป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม
เมื่อต้องมาเกี่ยวข้องกับคนข้างนอก ในสังคมที่มีความหลากหลาย ซับซ้อน
สังคมที่เห็นการแสดงความเห็นแย้งเป็นเรื่องปกติ ก็จะเกิดอาการทนไม่ได้
และจะต้องพยายามรักษาพื้นที่ที่ตัวเองมีอำนาจสั่งไว้อย่างเต็มที่
หากจะบอกว่าทหารที่เข้ามามีอำนาจขณะนี้
ผิดที่พกพาเอาวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มของตนเองมาบังคับคนที่อยู่ต่างวัฒนธรรม
ก็คงพูดไม่ได้เต็มคำ เพราะก็ต้องยอมรับว่า ความเด็ดขาดและคำสั่งนี่เอง
ที่สามารถหยุดคนไทยที่กำลังลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเพื่อยืนยันความเชื่อของแต่ละฝ่ายได้อย่างฉับพลัน
ในฐานะที่เกิดมาในครอบครัวทหาร
ผมไม่ได้รู้สึกแปลกแยกแตกต่างกับบรรยากาศแบบ ‘ฟังและสั่ง’ เท่าใดนัก เพียงแต่มีโอกาสฟังมากกว่า แต่ก็ต้องสงสัยว่า
การใช้อำนาจสั่งโดยไม่ใส่ใจความเห็นที่มีเหตุผล เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนั้น
เหมาะสมกับโลกภายนอกที่เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวไกลจนไม่มีใครอาจปิดหู ปิดปาก
ปิดตาใครได้ต่อไปหรือไม่
ทั้งหมดนี้ ต้องยกเว้นความเห็นแบบจัดตั้ง
ความเห็นที่สะท้อนจากกลุ่มอำนาจหรือผลประโยชน์ที่มุ่งร้าย
ความเห็นทีไม่มีความรับผิดชอบ และสร้างความเกลียดชังให้เกิดกับสังคม
ถ้าเรานิยามการแสดงความเห็นของผู้คนได้ชัด เราก็จะไม่รู้สึกหวาดระแวงกับความเห็นที่สุจริต
ความเห็นของคนเล็กคนน้อย ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับกลุ่ม
หรือพรรคการเมืองใด
ในขณะเดียวกันหากกลุ่มผู้มีอำนาจ
ไม่สามารถแยกแยะและมุ่งแต่จะเก็บเสียงเหล่านี้อยู่ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จ
กลับจะไปเพิ่มน้ำหนักให้กับฝ่ายตรงข้ามที่จะตอกย้ำความเป็นเผด็จการของอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น
การเปิดพื้นที่สำหรับ “เสียงสาธารณะ” ย่อมเป็นหนทางที่ดีกว่าการกดให้เสียงเหล่านี้ลงไปอยู่ใต้ดิน
รอเวลาที่เขาจะมีโอกาสพูดอีกครั้ง
และวันนั้นจะได้รู้ว่าความพยายามที่จะให้คนไทยรักกันในแบบพิธี
หรือเปิดเพลงคืนความสุข สัญญาจะอยู่ไม่นาน ซ้ำๆนั้น ไม่ได้มีความหมายอย่างใดเลย
หากไม่สามารถสร้างใจที่จะเข้าใจ และรักเพื่อนร่วมชาติได้อย่างแท้จริง
บนโต๊ะประชุมคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูป ผมได้เสนอแนวทางการปฏิรูปสำคัญหลายเรื่อง
ที่คาดว่าจะทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาอีกราว 1 ปีจากนี้ นอกจากการปฏิรูปองค์กรกำกับดูแลสื่อ ปฏิรูป
กสทช. ปฏิรูปกฎหมายสื่อและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว การปฏิรูปเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อ
ซึ่งก็คือเสรีภาพของประชาชน คือหัวใจสำคัญที่จะพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลทหาร
และความมุ่งมั่น เข้าใจของสมาชิกสภาปฏิรูปสายสื่อมวลชน
ที่จะผลักดันให้บรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยกลับมาสู่บ้านเมืองไทยอีกครั้ง
และแน่นอน เมื่อเราเรียกร้องเสรีภาพ
ที่ต้องมีความรับผิดชอบแล้ว ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีความรับผิดชอบ
และเคารพกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันด้วย
ผมมีความเห็นเช่นเดียวกับเพื่อนพ้องสื่อส่วนใหญ่ในคณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูปว่า
จะต้องแสวงหาทางออกด้วยการเจรจา
ขอความร่วมมือและสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน หาใช่การสร้างความเข้าใจโดยให้เข้าใจแต่ฝ่ายเดียว
และใช้อำนาจที่มีอยู่บังคับให้จำยอมเชื่อโดยต้องไม่มีข้อโต้แย้ง
ผมเห็นว่าควรต้องมีการจัดการสื่อแบบแยกแยะ
และหากสื่อใดล้ำเส้น ทำผิดกฎหมาย สร้างความแตกแยก ก็ใช้กฎหมายปกติจัดการ
กสทช.ที่เคยอ้างว่า ในยามที่บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่สามารถจัดการอะไรได้
ตำรวจก็พึ่งพาไม่ได้ กลุ่มมวลชนก็จะบุกมากดดันหากจัดการสื่อในฝ่ายเขา
ก็น่าจะไม่มีข้ออ้างอีกต่อไป
อย่างน้อยสองครั้งที่ท่านผู้นำ
และรองโฆษกรัฐบาลอ้างถ้อยคำของผมที่ว่า “เราจะต้องไม่กลัวอย่างลนลาน
และไม่กล้าอย่างบ้าบิ่น” นั่นหมายถึงการเดินสายกลางโดยยึดหลักการอย่างเคร่งครัด
ซึ่งผมไม่เคยพูดถึงเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ครั้งนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่เปลี่ยนความคิดนี้
แต่ก็ต้องสะกิดเตือนกันว่า หากมุ่งแต่ใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงใคร
และเชื่อว่าการควบคุมเสียงต่างอย่างเบ็ดเสร็จนั้น คือหนทางแห่งการสร้างความปรองดองให้คนในชาติ
นั่นย่อมผิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1005 ประจำวันที่ 21 - 27 พฤศจิกายน 2557)