วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สื่อสังคมอุดมดราม่า


สื่อสังคมออนไลน์ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ห้า หรือส่วนควบของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว อย่างปฏิเสธไม่ได้ เราต่างตกอยู่ภายใต้การครอบงำ การบงการ การฉุดดึงให้ตกไปอยู่ในหล่มโคลนแห่งสังคมอุดมดราม่าไปอย่างไม่มีใครอาจช่วยได้

ความเท็จทั้งสิ้น ความจริงครึ่งเดียว ถูกส่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านเข้าไปในร่างกายคล้ายคนป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด

ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าสื่อสังคมออนไลน์ทุกช่องทางจะแทรกซึมเข้าไปในสายเลือดของคนไทย จนพฤติกรรมการแสดงออกทางการแสดงความคิดเห็นของคนไทยดู สุดขั้ว ด้วยพฤติกรรมที่เสพติดสื่อออนไลน์

สถิติที่มาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยี ทำให้โทรศัพท์มือถือธรรมดา กลายเป็นมือถือแบบสมาร์ทโฟนที่ย่อโลกทั้งใบมาอยู่ในมือในราคาไม่แพง เมื่อปี 2555 มีการสำรวจพฤติกรรมการเสพสื่อ น่าตกใจที่เด็กไทยที่ใช้ไปกับสูงถึง 8 -9 ชั่วโมงใน วัน ซึ่งอาจเทียบได้ว่าเวลาครึ่งชีวิตยามตื่นของเด็กไทย ในระยะยาวอาจส่งผลต่อเวลาในการพักผ่อนที่ลดลง และส่งผลกระทบต่อเวลาในการเรียนรู้ของเด็กให้ต้องด้อยประสิทธิภาพลงไป โดยใน ชั่วโมงนี้ เด็กใช้เวลาคุยโทรศัพท์ หรือแชท Line  Facebook ส่องเรื่องดาราไอดอลผ่าน ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม  ไม่ต่ำกว่าวันละ ชั่วโมง

แต่ที่น่าตกใจ คือ จากรายงาน สรุปสภาวการณ์เด็กและเยาวชน 15 จังหวัด ภาคเหนือ ปี 2556 พบตัวเลขที่น่าตกใจ ว่า เด็กและเยาวชนจังหวัดลำปางใช้สื่ออินเตอร์เนตและสื่อสังคมออนไลน์ เฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง !!!

ในปี 2557 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้เฟสบุ๊คอยู่ 26 ล้านกว่าบัญชี จัดอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน และคิดว่าหากอัพเดทสถิติใหม่คาดว่าตอนนี้คงพุ่งทะยานสวนทางกระแสเศรษฐกิจไทยเป็นแน่

การแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ทุกวันนี้ ดูจะเป็นมาตรการทางสังคมที่ใช้ในการกดดัน บีบเค้น ที่สังคมมองว่าใช้ได้ผล แต่หากมองอีกมุมหนึ่งเราก็ต้องไม่ลืมว่าหลายความคิดเห็นออกไปในแนวรุนแรง คึกคะนอง และสร้างวาทกรรมแห่งความเกลียดชังจนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปทำเช่นนั้น

ก่อนหน้านี้มักจะมีประเด็นดราม่าดารา ที่เกิดวาทะกรรม ปะ ฉะ ดะ จนไปจบที่โรงพัก ฟ้องร้องกันตามหน้าข่าว อย่างกรณี ตั๊ก บงกช ฉะแหลก กับบริษัทที่ให้บริการเช่าเหมาลำเรือยอชต์  มหากาพย์แห่งการตอบโต้จากกรณีภาพตั๊ก บงกช ในชุดว่ายน้ำวันพีช ในลีลาการโพสต์ท่าที่เธอมั่นใจตามแบบฉบับของเธอ โดยสามีเป็นผู้ถ่ายภาพ ซึ่งเรื่องราวก็ไม่ควรจะมีอะไรผิดปกติ เพราะเป็นถือเป็นช่วงเวลา และภาพนั้นเธอคิดว่าไม่ควรจะหลุดออกมาจากไลน์ของคนอื่น

แต่ในครั้งนั้น หลายความคิดเห็นในสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ด่าทอในรูปลักษณ์ของตั๊ก บงกช ที่เปลี่ยนไปหลังจากคลอดลูก ซึ่งส่วนใหญ่คุณแม่ที่คลอดน้องและเลี้ยงดูให้นมลูกด้วยตัวเองนั้น รูปร่างก็จะเปลี่ยนไป อวบขึ้น อ้วนขึ้น ไม่เต่งตึงเหมือนสมัยยังสาว แต่ในกรณีตั๊กนี้ ดูเหมือนว่า สังคมออนไลน์จะคะนองปากกันเกินเหตุ โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงเหมือนความอ้วนเป็นสิ่งที่ผิด ความหย่อนคล้อยของเต้านมที่ให้นมลูกในสายเลือด กลายเป็นความทุเรศในสายตาของคนที่มีจิตใจคับแคบ ที่วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างตั๊กที่อยู่ในช่วงเวลาส่วนตัวจากการเช่าเหมาลำเรือยอชต์

หลายต่อหลายครั้งที่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในโลกโซเชียล แล้วกลายมาเป็นข่าว โดยที่ข่าวนั้นไม่ได้มีคุณค่าข่าวอะไรนอกจากสนองความสะใจของผู้เสพข่าว และหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน ที่เรามักจะเห็นชาวเน็ตออกมาด่าไว้ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ

กรณี ดีเจเก่ง ที่ก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังครึกโครม ทุกหัวหนังสือพิมพ์ ทีวีทุกช่อง สื่อออนไลน์ทุกชนิดรายงานสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจากคลิปที่บันทึกภาพที่ดีเจเก่งถอยรถกระบะชนรถเก๋งคู่กรณีก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะดำเนินคดีและเอาผิดตามกฎหมายได้อยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ไม่จบเช่นนั้น สังคมดูเหมือนจะมีการ ล่าแม่มด ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตว่าเคยไปประกวดอะไร ทำงานที่ไหน มีลูก เมีย ด่าทอไปถึงพ่อแม่ ราวกับว่าจะไล่ล่าไม่ให้อีกฝ่ายได้มีที่ยืนในสังคมได้อีกต่อไป

หรือกรณี ลูกเทพ ที่จะว่าไปแล้วมีการเลี้ยงมาได้หลายปีแล้ว แต่คนที่เลี้ยงดูแลก็ป้อนข้าวป้อนน้ำตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ที่ใครก็ไม่สามารถโปรแกรมควบคุมให้มีความคิดเหมือนกันทุกคนได้ แต่เมื่อกระแสลูกเทพที่มาในลักษณะข้อมูลฝ่ายเดียวว่าเป็นเรื่องไร้สาระของใครหลายคน แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจก็เป็นได้

ล่าสุด เรื่องหมอฟันที่หนีทุน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้หมอฟันผิดเต็มประตู มีการแสดงความคิดเห็นในลักษณะไล่ล่าประจานทำให้อับอายเพื่อกดดันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรทำ บ้านเมืองมีกฎหมาย และกฎหมายควรเป็นเครื่องมือในการนำมาซึ่งความถูกต้อง กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์และใช้ได้จริง ไม่ใช่ใช้มาตรการทางสังคมแบบนี้

และหากสังคมยังอุดมดราม่าแบบนี้เรื่อยๆ ใช้การประณามมากำจัดความชั่วแทนที่จะใช้สติและกฎหมาย แบบนี้ใครที่สร้างกระแสจุดไฟให้ติดได้ สังคมก็คงจะก้าวย่ำอยู่ที่เดิมที่ๆมีแต่วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง ตลอดไป


แล้วคนจำนวนไม่น้อยที่ดูจะเข้าใจว่า การประจานคือการกดดัน

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1065 วันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2559)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์