วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ป้าวรรณ-บัวหล้า ตามรอยพ่อปลูกผักปลดหนี้

จำนวนผู้เข้าชม website counter

"จากชีวิตที่ต้องดิ้นรนจนอยากตายวันละสินหน..แต่วันนี้มีความสุขสบายใจเป็นที่สุด" คำบอกเล่า ของป้าวรรณหรืออรวรรณ สายวงค์เปี้ยผ่านรอยยิ้มที่เป็นสุข ขณะสนทนาถึงเส้นทางเปลี่ยนชีวิตของเธอผู้เคยผ่านความทุกข์ยากจากหนี้สินมากมาย แต่สามารถลดหนี้มีกินมีใช้ก่อนปั้นปลายชีวิตเหมือนพลิกฝ่ามือ
           
ชีวิตลูกชาวนาหลังจากเรียนจบ มศ.5 ทำงานรับจ้างทั่วไปและไหลเข้าไปทำงานในกรุงเทพเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่นิยมไปทำงานกรุงเทพในสมัยนั้น ป้าเป็นลูกจ้างอยู่ในโรงงานตัดเย็บผ้าต่อมาได้พบกับสามี(สมศักดิ์ สายวงเปี้ย) ซึ่งทำงานอยู่ในอู่ซ่อมสีรถ ก็มีพออยู่ได้ เมื่อมีลูกก็ย้ายกลับมาอยู่บ้าน สามีเปิดอู่ทำสีรถในหมู่บ้าน ป้าวรรณก็รับจ้างทั่วไป ทำนาปลูกข้าวกินเอง ชีวิตก็ยังคงลำบากเพราะรายได้มาจากการขายแรงงาน เลี้ยงลูกสองคนก็ยิ่งต้องหาเงินมากขึ้น
           
"เมื่อรายได้น้อย รายจ่ายมากสุดท้ายเราตกอยู่ในวังวนหนี้จากการหยิบยืม ลามไปจนถึงการกู้ทุกรูปแบบที่เราจะกู้ได้ ทั้งธนาคารและกู้นอกระบบพันกันยุ่งไปหมด ที่ย่ำแย่ที่สุดคือเงินกู้เงินรายวันช่วง 4-5 ปีที่แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึงวันละ 1,700 บาท ความเครียดกดดันจนหาทางออกไม่ได้คิดจะกลับไปทำงานกรุงเทพอีกครั้งแต่สามีก็สุขภาพไม่ค่อยดีจากการทำสีรถยนต์ กระทั่งเพื่อนบ้านคือน้องรุ่ง(รุ่งสุรีย์ ชัยศร) มาแนะให้ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหา ชวนเข้าร่วมกับกลุ่มฮักน้ำจางที่ทำเกษตรอินทรีย์ตามรอยแนวเศรษฐกิจพอเพียงป้ากับสามีก็ยังไม่เข้าใจว่าพอเพียงอย่างไร ในเมื่อรายได้มันน้อย ปลูกผักขายยิ่งเห็นหนทางห่างไกล กว่าจะปลูก เก็บขายใช้เวลานานมาก ยิ่งไม่ใส่ปุ๋ยผลผลิตจะขายได้ไหม เราเองก็ไม่เคยทำเกษตรนอกจากช่วยพ่อแม่ทำนาแนวทางแรกคือเปิดใจเข้าไปเรียนรู้ "
           
เมื่อเปิดใจครอบครัวของป้าวรรณมีโอกาสรู้จักกับคำว่าแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จากการเข้าฝึกอบรมในโครงการเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ตามแนวพระราชดำรัสฯของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร่วมกับ"กลุ่มฮักน้ำจาง" หลายโครงการจนเริ่มเข้าใจ
           
“หลังจากที่เราเข้าไปเรียนรู้ สามีบอกว่าเราต้องลองลุยสักตั้งอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องจากบ้านไปทำงานในกรุงเทพ วันไหนไม่มีรายได้ก็มีกิน เราปลูกผักไม่เป็นก็เรียนรู้ไปกับเขา พ่อแม่ก็ทำสวนผักเล็กๆอยู่แล้วป้าก็ใช้สวนผักเดิมของพ่อแม่ ปลูกผักพื้นบ้านผักสวนครัวหลากหลายชนิด แต่เน้นการปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ต้องลงทุนอะไร กล้าผักก็ได้รับแบ่งปันกันจากกลุ่มและเพื่อนบ้าน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ใช้พืชธรรมชาติป้องกัน แก้ปัญหาเรื่องแมลง หรือโรคพืชต้นทุนต่ำ แต่ใช้ความอดทน พยายามสูง แม้จะมีรายได้ไม่มากจนร่ำรวยแต่มีความสบายใจจากการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องดิ้นรนเกินกำลัง เป็นเสมือนแบบฝึกหัดของการลดความโลภ ความอยากได้อยากมีเกินตัว จากเริ่มแรกทำเกษตรควบคู่กับการรับจ้างหลัง ปลูกผักมา 3 ปีเริ่มจัดการลดหนี้ไปได้ค่อนข้างมาก ขณะนี้เป็นเกษตรกรเต็มตัวแบบพอเพียงไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีกแล้ว”
           
บัวหล้า แสงจันทร์วัย 60 ปี อีกหนึ่งเกษตรกร "กลุ่มฮักน้ำจาง" ที่น้อมนำพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเปลี่ยนชีวิตให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากที่ต้องดิ้นรนหาบเร่ขายของในอยู่ในเมืองหลวงสู่ชีวิตที่เรียบง่ายในบ้านเกิด
           
“จากอาชีพกลุ่มแม่ค้าเหมารถไปหาบเร่ขายผ้า ดอกไม้ในกรุงเทพและจังหวัดใหญ่ทั่วประเทศจากบ้านเกิดไปหาเงิน ไม่ได้อยู่กับลูกหลาน เมื่ออายุมากขึ้นอยากกลับมาใช้ชีวิตปั้นปลายในบ้านเกิดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หนทางแรกคือกลับมาการทำนา ค้าขายเล็กๆน้อยๆในหมู่บ้านชีวิตก็ยังขัดสนและเป็นหนี้ธกส. เป็นหนี้นอกระบบไม่จบสิ้น  จะทำอาชีพอะไรก็ไม่มีความรู้เพื่อนบ้านกลุ่มฮักน้ำจางมาชวนเข้ากลุ่ม ป้าก็มองกว่าการปลูกผักนี่แหละมันไม่ยากเกินกำลัง แต่ทำคนเดียวก็ไปไม่รอด เพื่อนบ้านมาชวนไปทำเกษตรพอเพียง แต่คำว่าเกษตรพอเพียง เกษตรอินทรีย์ก็ไม่รู้จักว่ามันคืออะไร เขาทำกันอย่างไร ทำแล้วได้อะไร ได้พอ เข้าไปเรียนรู้เรื่องเกษตรพอเพียงหลายโครงการ ป้าก็เริ่มรู้จักและเข้าใจว่า การหันกลับมาใช้วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำเท่าที่เราทำไหว ลดรายจ่ายในชีวิตทุกทางให้มากที่สุด เราก็จะไม่เป็นหนี้ การปลูกผักอินทรีย์จึงเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด ปลูกผักในบ้านของเราก็มีรายได้โดยไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ลงแรงค่อยๆทำทีละน้อยเมื่อเก่งขึ้นก็ ปลูกมากขึ้นตามกำลัง รายได้ก็เพิ่มตามมาเอง วิธีคิดแบบที่ในหลวงทรงชี้แนวทางเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คนไทยที่สุด "
           
ป้าบัวหล้า บอกอีกว่า แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ และแนวคิดการใช้ชีวิตแบบพอเพียง เป็นความท้าทายและสู้กับวิธีคิดของตนเอง หากไม่เข้าใจให้ถ่องแท้ก็ทำไม่ได้ วิถีพอเพียงไม่ใช่แค่เรื่องทำเกษตร แต่การทำเกษตรเป็นวิถีที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนชนบท ทุกคนมีที่ดินมีบ้านของตัวเอง แต่ปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องของการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม เช่นเดียวกับตนที่เคยคิดอยากมีเงินมากๆ เอาเงินเป็นเป้าหมาย แต่สุดท้ายกลับเป็นหนี้  เมื่อหันมาปลูกผักขายนอกจากจะมีกิน ยังแบ่งญาติพี่น้องได้ด้วย ส่วนรายได้นั้นปัจจุบันป้าหล้า มีรายได้ที่พอใช้จ่ายอย่างไม่เดือดร้อน เหมาะสำหรับความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เมื่อจ่ายให้น้อยลงเท่านี้ก็มีเงินเหลือเก็บ จิตใจผ่องใสไม่ต้องกังวลว่าต้องหาเงินมาใช้หนี้ คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น
           
นั่นคือคำยืนยันจากเกษตรกรกลุ่มฮักน้ำจาง บ้านนากว้าวกิ่ว ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ซึ่งเป็นเกษตรกรที่รวมกลุ่มกันปลูกผักอินทรีย์ ขายที่ศูนย์ราชการจังหวัดลำปางจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ป้าวรรณและป้าหล้า อาจจะเป็นเกษตรกรรายเล็กๆเข้าใจอย่างถ่องแท้และยึดมั่นน้อมนำแนวทางปฏิบัติตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระเจ้าอยู่หัวพ่อหลวงของแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นเข็มทิศนำทางการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1101 วันที่  21 -  27 ตุลาคม 2559)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์