วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พลังประชารัฐใต้เงา‘ตู่’ พรรคเฉพาะกิจ กินบุญเก่า

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

ย่าว่าแต่พื้นที่ลำปางเลย ภาคเหนือทั้งภาค พรรคพลังประชารัฐก็จะเป็นเพียงเศษฝุ่นผง ที่ถูกเป่าให้ลอยฟุ้งกระจาย จนดูเหมือนจะเป็นพรรคนำในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่ความจริงกลับเป็นตรงข้าม ทั้งนี้ เนื่องเพราะพลังประชารัฐ เป็นเพียงพรรคการเมืองเฉพาะกิจ ที่มุ่งหวังจะผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ภารกิจอื่นนอกจากนี้ไม่มี

ความสำคัญผิดของคนพรรคพลังประชารัฐ คือการยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างปลอมๆด้วยอำนาจ บารมีที่มีอยู่ตามตำแหน่ง และความเข้าใจว่า ความเป็นนักการเมืองในอำนาจจะส่งผลให้พวกเขาได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งเป็นความฝันลมๆแล้งๆ เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์  นายกรัฐมนตรี หลังการยึดอำนาจของพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ต่อมาจัดตั้งและเป็นหัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ

และหากนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค หรือนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค จะแสดงราคาความเป็น “เทคโนแครต” คือผู้ทรงความรู้ ที่มีอิทธิพลและบทบาทในการกำหนดนโยบายสาธารณะ หรือความเป็นผู้ทรงภูมิ เหนือกว่านักการเมืองบ้านๆทั่วไป นี่ก็จะเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

สำหรับสังคมไทย กลุ่มคน “ตีนลอย” เหล่านี้ ก็ตกม้าตายมามากแล้วในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายอำนวย วีรวรรณ หัวหน้าพรรคนำไทย หรือนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ คนลำปาง เจ้าของทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” หัวหน้าพรรคมหาชน ที่ทำท่าว่า จะเป็นหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยในตอนแรก ครั้งเมื่อตั้งพรรค ราคาคุยว่า จะกวาดที่นั่งในสภาได้ถึง 70-80 ที่นั่ง ถึงเวลาเลือกตั้งจริง พรรคมหาชนได้ ส.ส.เพียง 3 คน และพรรคก็ล่มสลายไปในเวลาไม่นานนัก

พรรคพลังประชารัฐ หรือกระทั่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย อันมีรากงอกมาจาก “มวลมหาประชาชน” ล้วนเป็นพรรคในแนวอำนาจนิยม คือขอเพียงได้ดิ้นรนอยู่ในอำนาจ หรือสนับสนุนผู้ที่ได้อำนาจมาด้วยวิธีการอันเป็นปฎิปักษ์ต่อประชาธิปไตย เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่น่าเสียดายที่โอกาสเช่นนั้น ยากยิ่ง หากจะพูดกันบนพื้นฐานของความจริงมิใช่เพียงความเพ้อฝัน

พรรคพลังประชารัฐ แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเอาชนะพรรคเพื่อไทย ซึ่งน่าจะเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งสมัยหน้า โดยจะพยายามให้ได้รับการเลือกตั้งอย่างน้อย 126 ที่นั่ง เพื่อไปรวมกับเสียงของ ส.ว.อีก 250 ที่นั่ง เท่ากับ 376 ที่นั่ง เกินกว่ากึ่งหนึ่ง ในการสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี    

หากตัดบรรดาผู้บริหารพรรค ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลออกไป คนเหล่านั้นไม่มีศักยภาพที่จะได้รับเลือกตั้งอยู่แล้ว ส.ส.เก่า ส.ส.ใหม่ ที่เชื่อว่าเข้าไปซุกปีกพลังประชารัฐแล้วจะได้ดิบได้ดี เขียนติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า 50 ที่นั่งก็มากเกินไป และพรรคเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านจำเป็น ซึ่งเป็นบทที่พวกเขาไม่ถนัด

แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้มีพัฒนาการที่ยาวนาน จนเติบโตขึ้นเป็นสถาบันทางการเมือง จนกระทั่งสถานะของพรรคจะไม่ผันแปรไปตามสถานการณ์ เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์  แต่ความมั่นคงแข็งแรงของพรรค ที่มีต้นกระแสธารเป็นพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย และความพยายามบดขยี้ทุกวิถีทางของผู้มีอำนาจ แต่พรรคนี้ก็ยังเติบโตขยายตัวไปไม่สิ้นสุด นี่เป็นคำตอบว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ย่อมมิใช่พรรคฝ่ายอำนาจนิยมทั้งหลาย ที่อาศัยบุญเก่า ก้าวเข้าสู่การเมือง

นี่เองถึงกล่าวได้ว่า พลังประชารัฐดีที่สุดสำหรับลำปาง คือได้เห็นป้ายหาเสียงของพรรค และได้รู้ว่านักการเมืองคนใดฝักใฝ่เผด็จการเท่านั้นเอง


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1204 วันที่ 9 - 15 พฤศจิกายน 2561)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์