ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะและเหมืองแร่ จังหวัดลำปาง กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง หลังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 โดยชี้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะยังคงก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แนะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังตามหลักวิชาการ ด้าน กฟผ.แม่เมาะ ได้ออกมาชี้แจงข้อมูลและแนวทางการดำเนินการตอบรับข้อเสนอแนะของ กสม. ยืนยันมีการดำเนินการตามกฎหมายและมาตรการอย่างเคร่งครัด
กฟผ.แม่เมาะ ตอบโจทย์
กสม.โรงไฟฟ้ายังก่อผลกระทบสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม ชาวบ้านในพื้นที่
น้ำ-อากาศ-กลิ่น-เสียง วางใจได้ ย้ำน้ำและนิเวศวิทยาทางน้ำ ส่วนที่เกินมาตรฐานเกิดตามธรรมชาติในอ่างเก็บน้ำแม่จางและเขื่อนกิ่วลมซึ่งไม่อยู่ในกระบวนการผลิตไฟฟ้า
ขณะที่คุมเข้มคุณภาพอากาศ กลิ่นจากการลุกไหม้ของถ่านน้อยตรวจวัดไม่ได้
ระดับเสียงไม่พบความเสี่ยง
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา กฟผ.แม่เมาะ เปิดข้อมูล เคลียร์ทุกประเด็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
ว่าโรงไฟฟ้าแม่เมาะยังก่อผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่
ดังนี้
กฟผ.แม่เมาะ
ชี้ประเด็นข้อสงสัยเรื่องคุณภาพน้ำที่พบ “ปรอทอินทรีย์ในเนื้อปลา” ว่า
การพบค่าที่เกินเกณฑ์ มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตแต่อย่างใด
จากข้อมูลการตรวจสอบค่าปริมาณโลหะหนักในเนื้อปลาบริเวณโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
ในช่วงเดือนเมษายน 65 โดยอิงค่ามาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
(ฉบับที่ 414) พ.ศ.2563 และ CODEX
STAN 193-1995 มีการพบปรอทอินทรีย์เกินเกณฑ์ของ CODEX ที่อ่างเก็บน้ำแม่จาง ในปลากดเหลือง (ปลากินพืช)
จำนวน 3 ตัว อยู่ที่
1.92 มก./กก. และที่เขื่อนกิ่วลม ในปลากระสูบขีด(ปลากินพืช) 2 ตัว อยูที่ 0.75 มก./กก.
ซึ่งค่ามาตรฐานในปลากินพืชจะต้องไม่เกิน 0.5 มก./กก.
การพบปรอทอินทรีย์ในเนื้อปลากดเหลือง
ที่อ่างเก็บน้ำแม่จาง และในเนื้อปลากระสูบขีด ที่เขื่อนกิ่วลมมีค่าเกินมาตรฐาน CODEX “ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ” เนื่องจากอ่างเก็บน้ำแม่จาง และเขื่อนกิ่วลม
เป็นเพียงแหล่งน้ำดิบที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะสูบมาใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น
ไม่มีการระบายน้ำจากโรงไฟฟ้าลงไปในแหล่งน้ำดังกล่าว ทั้งนี้ กฟผ.ยืนยันว่า
ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน
ไม่พบโลหะหนักในเนื้อปลาเกินเกณฑ์มาตรฐานทั้งไทยและสากล
ขณะที่การตรวจการปนเปื้อนของ “สารหนู” ในน้ำผิวดิน บริเวณอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ มีการพบสารหนูเกินมาตรฐาน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 โดยมีการตรวจพบที่ 0.011 มิลลิกรัมต่อลิตร จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสาเหตุที่พบสารหนูในน้ำผิวดินเกินเกณฑ์นั้น คาดว่าเกิดจากช่วงตรวจวัดเป็นช่วงที่มีวัชพืชในอ่างจำนวนมาก ประกอบกับช่วงฤดูแล้งน้ำในอ่างมีปริมาณน้อยไม่หมุนเวียน จึงเกิดการสะสม ต่อมาในเดือนตุลาคม 2565 โรงไฟฟ้ได้มีการพัฒนาอ่างเก็บน้ำ กำจัดวัชพืชร่วมกับเทศบาลตำบลแม่เมาะ หลังจากนั้นได้ตรวจสอบพบว่าค่าสารหนูไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานอีกเลย
ขณะเดียวกันได้มีการตรวจการปนเปื้อนสารหนูในดิน 4 จุดด้วยกัน คือ วัดหางฮุง รพ.สต.สบป้าด ขอบบ่อเก็บเถ้าถ่านหินด้านทิศใต้ และขอบบ่อกักเก็บเถ้าถ่านหินด้านทิศตะวันตก พบมีการปนเปื้อนสารหนู 3 จุด ที่ วัดหางฮุง รพ.สต.สบป้าด และขอบบ่อกักเก็บเถ้าถ่านหินด้านทิศตะวันตก ในช่วงเดือนมีนาคม 2565 และเมษายน 2567
กฟผ.ระบุว่า
สาเหตุมาจากทรัพยากรดินในพื้นที่ภาคเหนือมีวัตถุต้นกำเนิดดินที่มีสารหนูเป็นองค์ประกอบสูง
จึงมักพบสารหนูในดินเกินค่ามาตรฐานอยู่แล้วตามธรรมชาติในหลายจังหวัด นอกจากนี้การทำการเกษตรที่มีการใช้สารเคมี
ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ สามารถทำให้เกิดการปนเปื้อนได้
โดยมีการอ้างอิงข้อมูลจากการผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงานข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆร่วมด้วย
ส่วนผลการตรวจ “แคดเมียม”
ไม่มีรายงานระบุในปี 2565 มีเพียงรายงานการตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งที่ผ่านระบบบำบัดชีววิธีก่อนระบายลงสู่อ่างเก็บน้ำแม่เมาะ
ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2567 พบว่า แคดเมียม วัดได้น้อยกว่า 0.0005 มิลลิกรัม/ลิตร จากค่ามาตรฐานจะต้องไม่เกิน 0.03 มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่งโรงไฟฟ้าแม่เมาะยืนยันคุณภาพน้ำทิ้งที่ปล่อยออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกดัชนี
นอกจากนี้โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ยังได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้ง
ก่อนปล่อยออกสู่แหล่งสาธารณะพบว่ามีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกดัชนี
อย่างไรก็ตามการตรวจวัดคุณภาพน้ำ ซึ่งประกอบด้วยน้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน
ตะกอนดินน้ำผิวดิน และน้ำทิ้ง จะดำเนินการเก็บตามแหล่งน้ำโดยรอบ ทั้งแหล่งอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ
จุดบำบัด และในพื้นที่ชุมชน พบว่า ในส่วนที่มีค่าเกินเกณฑ์ เช่น ค่า BOD ในอ่างเก็บน้ำแม่จาง
เป็นค่าที่วัดได้บริเวณอ่างเก็บน้ำต้นทุนก่อนเข้าสู่โรงไฟฟ้า จึงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าแต่อย่างใด,
ค่าคุณภาพน้ำผิวดินอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ พบฟีคัลโคลีฟอร์มจากการทำปศุสัตว์
(โค กระบือ) เป็นต้น
- ด้านคุณภาพอากาศ
ตอนหนึ่งในเอกสารแถลงข่าวระบุ
และอธิบายต่อไปในเรื่องคุณภาพอากาศที่ว่ามีการพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินเกณฑ์ในช่วง
ก.พ. ถึง เม.ย. ในปี 2565-2566 นั้น เนื่องจากช่วงเวลานั้นของทุกปี
มีการเผาไหม้ในพื้นที่โล่ง การเผาเศษวัสดุ
ทางการเกษตรและไฟป่า ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควันทั่วทั้งภูมิภาค ในขณะเดียวกันค่าควบคุมก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในบรรยากาศของพื้นที่ อ.แม่เมาะ
อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานมาโดยตลอด
ส่วนประเด็นด้านอัตราการระบายของก๊าซ
และค่าความเข้มข้นของก๊าซ ที่ระบายออกจากปล่องของโรงไฟฟ้าเกินเกณฑ์ค่าควบคุม EHIA
นั้น เกิดจากการแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิคภายในโรงไฟฟ้าเป็นครั้งคราว
และยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ.
2566 และไม่ส่งผลกระทบต่อค่าควบคุมก๊าซในบรรยากาศภาพรวมของพื้นที่ อ.แม่เมาะ
- ด้านกลิ่นและเสียง
จากการตรวจวัดกลิ่นที่เกิดจากการลุกไหม้ของถ่านตามมาตรการ
EIA
บริเวณชุมชนด้านทิศเหนือและทิศใต้ของพื้นที่ กฟผ.แม่เมาะ ปี
2565-2567 บริเวณหมู่บ้านดงและหมู่บ้านห้วยคิง พบว่าไม่สามารถตรวจวัดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟล์และก๊าซเมธทิลเมอร์แคปเทนได้
เนื่องจากมีค่าน้อยมาก ในขณะที่ด้านเสียง
หลังจากได้รับข้อร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนในปี 2565 กฟผ.แม่เมาะ
ได้ดำเนินการตรวจวัดเสียง
โดยใช้เครื่องมือตรวจวัดเสียงและ Sound Camera หาแหล่งกำเนิดเสียงรบกวน
โดยพบความถี่แหล่งกำเนิดเสียงมาจากอุปกรณ์ในโรงไฟฟ้าบางส่วน
“ได้ดำเนินการแก้ไขอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับดำเนินการปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแนวกั้นเสียงเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ผลจากการตรวจวัดเสียงในส่วนของเหมืองแม่เมาะ พบว่าอยู่ในเกณฑ์หรือดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานควบคุมระดับเสียงและความสั่นสะเทือนจากการทำเหมืองหิน ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนผลการตรวจวัดเสียงในส่วนของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ปีล่าสุด พบว่า มีการตรวจวัดเสียงถูกต้องตามหลักสากล โดยพบว่าระดับเสียงเฉลี่ย (Leq24hr) มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานีตรวจวัด และระดับเสียงรบกวนมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั้งหมด” ตอนหนึ่งในเอกสารระบุ
- ด้านการจัดสรรค่าภาคหลวงแร่
สำหรับข้อร้องเรียน ด้านการจัดสรรค่าภาคหลวงแร่ให้แก่ อบต.สบป้าด โครงการเหมืองแร่ลิกไนต์และหินปูนมีการจ่ายเงินค่าภาคหลวงแร่ให้กับหน่วยงานราชการอย่างต่อเนื่องทุกปีตามที่พระราชบัญญัติแร่กำหนด โดยกรณีของ อบต.สบป้าด จะได้รับการจัดสรรร้อยละ 10 ของค่าภาคหลวง ที่จัดเก็บได้ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ เนื่องจาก พื้นที่ประทานบัตรที่ผลิตแร่ถ่านหินลิกไนต์และหินปูนของ กฟผ. ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ของตำบลสบป้าดโดยตรง
ทั้งนี้สามารถอ่านข้อมูลคำชี้แจงโดยละเอียด
ลำดับเหตุการณ์ และการดำเนินการเบื้องต้นเพื่อรองรับ ข้อเสนอแนะได้ในเว็บไซต์ https://mpp.egat.co.th/hellomaemoh/index.php?option=com_content&view=article&id=1392:2025-07-30-06-33-49&catid=10&Itemid=101 หรือสแกนดาวน์โหลดไฟล์ผ่าน QR code