ยามสายที่ท้องฟ้ามืดครึ้มฉ่ำฝน
ดูเหมือนทุกอย่างในเมืองลำปางจะพลอยเงียบเหงาเนิบนาบ
ไม่เว้นแม้ในย่านที่ควรจะคึกคักอย่างตลาดสดเทศบาล 1 ไล่เลยไปจนถึงบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ป้าน้อย วัย 66 ปี
ยังคงนั่งอยู่ในมณฑปที่ประดิษฐาน พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
(ประจำทิศเหนือ) เพื่อขายดอกไม้ธูปเทียนเหมือนเช่นทุกวัน ว่าอันที่จริงก็กว่า 40
ปีแล้วที่ป้านั่งประจำอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน วันใดเงียบเหงาร้างไร้ผู้คน
ป้าน้อยมักพูดติดตลกกับพระพุทธรูปตรงหน้าว่า “วันนี้หลวงพ่อไปเที่ยวที่ไหน
หรือติดกิจนิมนต์ ไม่เห็นมีคนมาเลย” หญิงชรายังมักเอ่ยถึงหลวงพ่อกับคนที่มากราบไหว้บูชาว่า
“ดูท่านสิ งามเหลือเกิน”
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
(ประจำทิศเหนือ) เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะผสมรมดำทั้งองค์
ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “หลวงพ่อดำ” ประดิษฐานอยู่ในมณฑปทรงไทยแบบจตุรมุข
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อองค์พระ ณ
กรมการรักษาดินแดน ทั้งนี้ ได้ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างพระพุทธรูปขึ้นทั้งหมด 4
องค์ เพื่อนำไปประดิษฐานยังทิศทั้งสี่ทั่วประเทศ รวม 4
จังหวัด ได้แก่ ทิศเหนือ-จังหวัดลำปาง ทิศใต้-จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันออก-จังหวัดสระบุรี และทิศตะวันตก-จังหวัดราชบุรี
โดยสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2511
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือพระสี่มุมเมือง
ในประเทศไทยจึงมีอยู่ 4 องค์ กล่าวกันว่า
จัดสร้างขึ้นตามความเชื่อโบราณตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ที่จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องขอบขัณฑสีมาทั้ง 4
ทิศ โดยการสร้างพระพุทธรูปไว้ 4 มุมเมือง หรือที่เรียกว่า “จตุรพุทธปราการ” คือ
การนำเอาพระพุทธรูปไปประดิษฐานเป็นปราการทั้ง 4
ด้าน เพื่อปกป้องภยันตรายจากอริราชศัตรู ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
เสริมสร้างดวงชะตาเมือง และคุ้มครองพสกนิกรให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
“เดิมทีท่านประดิษฐานในศาลาชั่วคราวใกล้กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตรงโน้น”
ป้าน้อยพูดขณะจัดถาดวางธูปเทียน “กว่ามณฑปหลังนี้จะสร้างเสร็จก็ปี
พ.ศ. 2517 โอ้โห ฉลองกัน 3
วัน 3 คืนไม่หยุด หลวงพ่อเกษม เขมโก
ท่านยังมาร่วมปลุกเสกทำพิธี มีการทำเหรียญบูชาคู่กันอีกด้วย” ป้าน้อยว่า
ปีนี้เองที่ป้าน้อยมาทำงานเป็นคนเฝ้ามณฑปหลวงพ่อ ทำหน้าที่เปิด-ปิด
ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู พร้อมกับขายดอกไม้ธูปเทียนไปด้วย
ตลอดระยะเวลากว่า 40
ปีที่นั่งอยู่ตรงนี้ ป้าน้อยตั้งข้อสังเกตว่าคนลำปางไหว้เจ้ามากกว่าไหว้พระ
หรืออาจเป็นเพราะไม่รู้จัก
ไม่รู้ว่าจังหวัดลำปางเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญองค์นี้ด้วยซ้ำ
เข้าทำนองใกล้เกลือกินด่าง และอาจเป็นไปได้เช่นกันที่ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
สถานที่ก็ทรุดโทรม ไม่ได้รับการบูรณะให้สมกับคุณค่าที่มีอยู่
อีกฝั่งหนึ่งของมณฑปหลวงพ่อดำคือมณฑปหลวงพ่อเกษม
เขมโก ใกล้กันนั้นคือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประจำจังหวัดที่มีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนับเป็นสถานที่น่าสนใจอันดับแรกที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ระบุไว้ในโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด
หลักเมืองของจังหวัดลำปางเป็นเสาไม้สัก
มีด้วยกัน 3
หลัก ได้แก่ เสาหลักเมืองหลักแรก สันนิษฐานว่าคือเสาต้นเล็กที่สุด
ตามประวัติระบุว่าในปี พ.ศ. 2400 เจ้าวรญาณรังษีราชธรรม
พร้อมด้วยครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี และพระเถระ 4
รูป รวมถึงพ่อเมืองทั้งสี่ ได้ฝังเสาหลักเมืองหลักแรกของเมืองลำปางนี้ ณ วัดปงสนุก
ซึ่งถือเป็นวัดสะดือเมือง หรือวัดศูนย์กลางเมืองเขลางค์ยุคที่สอง
เสาหลักเมืองหลักที่สอง
สร้างขึ้นในสมัยเจ้าพรหมาธิพงษ์ธาดา ราวปี พ.ศ. 2416
โดยมีการฝังหลักเมืองหลักนี้ ณ ฝั่งเมืองใหม่
ซึ่งก็คือหลังจากการย้ายศูนย์กลางเมืองจากฝั่งตะวันตกมาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวัง
บริเวณคุ้มเจ้าราชวงศ์
ส่วน เสาหลักเมืองหลักที่สาม สร้างราวปี พ.ศ. 2430
สมัยเจ้านรนันท์ชัยชวลิต ต่อมา เมื่อการสร้างศาลากลางจังหวัดแล้วเสร็จ
จึงได้อัญเชิญหลักเมืองทั้งสามมาไว้ ณ ที่แห่งนี้ กระทั่งมีการสร้างมณฑปครอบในปี
พ.ศ. 2510 ตรงกับสมัยนายสุบิน เกษทอง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
จอมพลประภาส จารุเสถียร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในยุคนั้นยังมาร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์
หากใครติดตามข่าวสารของทางจังหวัดจะเห็นว่าในปีหนึ่ง
ๆ นั้น บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจะเป็นสถานที่จัดงานใหญ่ 3
งานด้วยกัน คือ วันที่ 5 พฤษภาคม
เทศบาลร่วมกับทางจังหวัดจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมือง พร้อมกับทำพิธีสืบชะตา
จากนั้นวันต่อมาจึงมีการฟ้อนผี ล่วงเข้าเดือนธันวาคม
วัดบุญวาทย์วิหารจัดงานเทศน์มหาชาติ ช่วงปลายปี ทาง อบจ.
ยังใช้เป็นสถานที่จัดพิธีบวงสรวงให้งานฤดูหนาวและงานกาชาดจังหวัดลำปางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย