ครม.สั่งอพยพ
5 หมู่บ้าน ต.แม่เมาะ-บ้านดง
แกนนำเผยเป็นสัญญาณที่ดี เชื่อเดินหน้าภายใน 1 ปี
หลังทำเรื่องขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้
ขณะที่มะลิวรรณโวยรัฐบาลแต่งเรื่องหลอกเด็ก พื้นที่อพยพห่างจากเดิมแค่ 3 ก.ม.หนีไม่พ้นผลกระทบ มติ
ครม.แค่ซื้อเสียงซื้อเวลา
หลังจากเมื่อวันที่
15 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 1 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เห็นชอบให้มีการอพยพ ราษฎร 5 หมู่บ้าน ประกอบด้วย บ้านห้วยคิง หมู่ที่ 6 ตำบลแม่เมาะ
บ้านหัวฝาย หมู่ที่ 1 บ้านดง หมู่ที่ 2 บ้านสวนป่าแม่เมาะ หมู่ที่ 7 และบ้านหัวฝายหล่ายทุ่ง
หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน (พน.)
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร
และสนับสนุนการปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพื้นที่
นางแสงจันทร์ มูลซาว ผู้ใหญ่บ้านห้วยคิง หมู่ 6 เปิดเผยว่า ชาวบ้านห้วยคิงได้เริ่มยื่นข้อเรียกร้องไปเมื่อปี
2552 ให้
กฟผ.อพยพชาวบ้านทั้งหมดออกจากพื้นที่เดิม เพื่อไปอยู่ในพื้นที่ใหม่
ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี โดยพื้นที่นั้นจะต้องอยู่ในพื้นที่ ต.แม่เมาะ
อ.แม่เมาะ และต้องอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้า
และเหมืองแม่เมาะมากกว่า 5 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 4
ปีในการเรียกร้องจนกระทั่งมีมติ ครม.ออกมา
ในเบื้องต้นชาวบ้านได้เลือกพื้นที่ของกรมป่าไม้บริเวณ หมู่ 8 ต.แม่เมาะ ติดกับบ้านเวียงหงส์ล้านนา หมู่ 12
พื้นที่ 698 ไร่
เป็นพื้นที่ที่ กฟผ.กันไว้รองรับการอพยพ ห่างจากโรงไฟฟ้า 10 กิโลเมตร ตอนนี้ต้องรอให้มีการแจ้งมติ
ครม.มาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจึงจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อติดตามความคืบหน้าต่อไป
ด้านนายศุกร์
ไทยธนสุกานต์ อดีต นายก อบต.บ้านดง กล่าวว่า ชาวบ้าน ต.บ้านดง ได้มีการต่อสู้เรียกร้องมติ
ครม.ต่างๆมานาน
ซึ่งหลังจากได้รับการอนุมัติแล้วก็ต้องมีผู้นำในการขับเคลื่อนให้งานเดินหน้าต่อไป
เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ซึ่งการดำเนินการต่อไปนี้
กฟผ.ต้องประสานงานกับกรมป่าไม้ เพื่อขอใช้พื้นที่ในการอพยพ ในส่วนของ ต.บ้านดงได้กำหนดพื้นที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าแม่เฟือง บ้านท่าสี หมู่ 6 ต.บ้านดง ขอใช้ประโยชน์จำนวน 2,000
ไร่ ซึ่งห่างจากจุดทิ้งดินออกไป 5 กิโลเมตร คาดว่าจะอยู่ในช่วง 1 ปีที่ กฟผ.จะทำการขอใช้พื้นที่ป่าแล้วเสร็จ นอกจากนี้ตนยังได้มีการนำเสนอ
การแก้ไขประกาศแนบท้ายของ กฟผ.ให้รวมพื้นที่ทิ้งดิน และพื้นที่เหมืองเป็นพื้นที่ของโรงไฟฟ้าทั้งหมด
เพื่อกำหนดให้ชาวบ้านอยู่ห่างจากรัศมี 5 กิโลเมตรอย่างชัดเจน
ไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) อาจจะมีการตอบรับที่ดีในเร็วๆนี้
เมื่อสอบถามว่า
มติ ครม.นี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อป้องกันการรวมตัวของชาวบ้านหรือไม่ นายศุกร์ กล่าวว่า เมื่อมีมติ
ครม.ออกมาแล้วก็ต้องดำเนินการ ซึ่งมีการวางแผนต่างๆไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เพื่อให้เดินหน้าได้หลังจาก ครม.อนุมัติ
โดยทางชาวบ้านก็จะคอยมองดูการทำงานของผู้เกี่ยวข้องอยู่ หากว่าอนุมัติมาแล้วแต่เรื่องกลับเงียบหายไป
เชื่อว่าชาวบ้านคงไม่ยอมและจะออกมาทวงถามอย่างแน่นอน
ขณะที่นางมะลิวรรณ
นาควิโรจน์ ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
กรณีการกำหนดพื้นที่อพยพของชาวบ้าน ต.แม่เมาะ และ ต.บ้านดงนั้น
ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
เนื่องจากบ้านห้วยคิงอ้างว่าได้รับผลกระทบจากฝุ่นในการระเบิดเหมือง
ซึ่งพื้นที่เดิมอยู่ห่างจากขอบเหมืองเพียง 1 กิโลเมตร
ส่วนพื้นที่ใหม่ที่ย้ายออกไปนั้นอยู่ห่างจากเดิมเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ การอพยพชาวบ้านต้องคำนึงถึงความเป็นจริงด้วย
ไม่ใช่การวัดจากตัวโรงไฟฟ้า
เพราะสิ่งที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบเกิดจากเหมืองไม่ใช่โรงไฟฟ้า
ยังแปลกใจว่าพื้นที่อื่นที่รองรับการอพยพก็มีหลายแห่ง เช่นที่ ต.สบป้าด
มีพื้นที่กว่า 5,000 ไร่
และห่างจากรัศมี 5 กิโลเมตรอย่างแน่นอน
เหตุใดจึงไม่ย้ายไปอยู่ตรงนั้น
ถ้าย้ายไปแล้วแก้ปัญหาไม่ได้จะย้ายไปทำไมให้เปลืองงบประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท
นางมะลิวรรณ
กล่าวอีกว่า
เรื่องการอพยพนี้คงเป็นไปได้ยาก และใช้เวลาอีกนาน มติ
ครม.ที่ออกมานั้นเหมือนกับเป็นลิงหลอกเจ้า ทำแค่ให้ผ่านไป
จากที่ตนเองได้ต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2544
กว่าจะได้ย้ายใช้เวลาถึง 8 ปี และเปลี่ยนมติ ครม.ถึง 13 มติ แต่การอพยพชาวบ้านชุดนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
สำหรับมติ ครม.ดังกล่าวสรุปได้ว่า ให้ กฟผ.
จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับราษฎรที่ยืนยันไม่ต้องการอพยพให้ชัดเจน เพื่อเป็นการยอมรับร่วมกันว่า
พื้นที่รองรับการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน มีความเหมาะสม
และได้รับความเห็นชอบจากการทำประชาคมหมู่บ้านแล้ว หากในอนาคต กฟผ.
มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินของราษฎร กฟผ.
จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
และต้องดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ กฟผ.
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านงบประมาณจำนวน 2,970.5 ล้านบาท
โดยประสานงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
และหารือร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.)
เพื่อพิจารณาข้อตกลงด้านงบประมาณที่เป็นค่าชดเชยต้นสักของ อ.อ.ป.
ในพื้นที่รองรับการอพยพและพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ
นอกจากนั้นมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการประเมินและทบทวนสถานภาพความเป็นหมู่บ้านของทั้ง 5 หมู่บ้าน
ในกรณีจำนวนครัวเรือนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านเดิมมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะคงสถานภาพเป็นหมู่บ้านภายหลังการอพยพของครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านแล้ว
โดยพิจารณากำหนดแนวทางการโอนครัวเรือนที่เหลืออยู่ไปสมทบร่วมกับหมู่บ้านอื่น
หรือพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการครัวเรือนที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับแนวทางการปกครองในระดับหมู่บ้านต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐาน
เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบประปา ในพื้นที่ของครัวเรือนที่ขออพยพ
เพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิม
สำหรับพื้นที่ของครัวเรือนที่ยืนยันไม่ต้องการขออพยพ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐานดังกล่าวให้กับครัวเรือนในพื้นที่ต่อไปตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับจากภาครัฐ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 948 วันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2556)