คุณรู้ไหมว่า
ดอกไม้ในแจกันที่ซื้อมาเมื่อเช้านี้ อาจจะมีจุดกำเนิดบนความสูง 2,565 เมตร
จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งก็คือดอยอินทนนท์ ยอดดอยที่สูงเป็นอันดับ 1
ของประเทศไทย
กล่าวกันว่า
ดอยอินทนนท์คือตอนปลายสุดของเทือกเขาหิมาลัย ดังจะพบพืชพรรณไม้และนกชนิดต่าง ๆ
ในสายพันธุ์หิมาลายันได้ที่นี่ แต่สำหรับมีชัย พนากำเนิด
ชายวัยกลางคนจากบ้านขุนกลาง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอินทนนท์คือบ้าน
คือที่ทำงาน งานของเขาคือปลูกดอกไม้เมืองหนาว เมื่อตัดดอกรวมกับดอกไม้จากคนอื่น ๆ
มีชัยพร้อมภรรยาและเพื่อน ๆ จะใช้เวลาขับรถราว 3 ชั่วโมงครึ่ง
ดิ่งตรงมายังอำเภอเมืองฯ จังหวัดลำปาง
บริเวณศาลากลางเก่า
ด้านข้างมณฑปที่ประดิษฐานหลวงพ่อดำ หรือพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
คือที่ประจำของพวกเขา ดอกไม้จากดอยอินทนนท์จะถูกลำเลียงลงจากรถอย่างระมัดระวัง
พวกผู้หญิงนำดอกไม้ใส่ถังแช่น้ำ บ้างจัดรวมเป็นช่อ
รอคอยคนมาซื้อด้วยสีสันละลานตาของดอกไม้นานาพรรณ มีชัยบอกว่า
ดอกไม้ของเขาเมื่อแช่น้ำแล้วจะ “ขึ้นดี” ด้านคุณภาพจะเป็นรองก็แต่ดอกไม้ของโครงการหลวงเท่านั้น
บ้านขุนกลางเป็น
1 ใน 21 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ส่งเสริมของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โครงการหลวงดอยอินทนนท์
ซึ่งเริ่มเข้ามาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522
ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะช่วยเหลือชาวไทยภูเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยง
ทั้งนี้
บ้านขุนกลางเป็นหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่เคยเต็มไปด้วยไร่ฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอย
ซึ่งทำลายป่าไม้และต้นน้ำ
ต่อมาทั่วทั้งหุบดอยได้รับการพลิกฟื้นเป็นที่ปลูกพืชพรรณเมืองหนาว
ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอย่างถูกวิธีโดยเจ้าหน้าที่ของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
ชาวม้งที่บ้านขุนกลางส่วนใหญ่จึงมีอาชีพปลูกดอกไม้เมืองหนาวส่งขายให้สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
แต่มีบางส่วนเมื่อชำนาญแล้วก็ออกมาทำเอง
“ถ้าจะปลูกส่งโครงการหลวง ดอกไม้ต้องคุณภาพดีสุด ๆ คือ ดอกใหญ่ ก้านตรง
เรียกว่าขนาดจัมโบ้ AA ครับ แม้แต่เกรด A ก็ยังไม่ได้” มีชัยเล่าถึงเหตุผลที่เขาออกมาปลูกขายเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือ ดอกไม้ของเขาคุณภาพยังไม่ถึงมาตรฐานของโครงการหลวง
แต่ก็จัดว่ายังอยู่ในระดับเกรด A และเกรด B ไม่ต่ำกว่านี้
เมื่อต้องหาตลาดเอง
มีชัยรู้ดีว่าในตัวเมืองเชียงใหม่นั้น ไม่มีที่ว่างสำหรับคนขายดอกไม้อีกแล้ว
แต่ละตลาดล้วนแน่นเอี้ยดไปด้วยร้านขายดอกไม้ ไม่เว้นแม้แต่เมืองลำพูน
เขามองมาที่เมืองลำปาง ประกอบกับมีเพื่อนชักชวนให้มาลองขายดอกไม้ดู
ดอกไม้จากดอยอินทนนท์จึงลงมาถึงพื้นราบก่อนวันโกน วันพระ
ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกไม้ขายดีที่สุด หลังจากวันพระผ่านพ้นไป
ก็ดูเหมือนไม่มีใครต้องการดอกไม้อีก
เมื่อนั้นบรรดาชาวม้งจากบ้านขุนกลางจึงจะกลับบ้าน พร้อมกำไร หรือขาดทุน
ว่ากันไปในแต่ละเที่ยว
“ที่เชียงใหม่ผมเคยเอาดอกไม้ไปวางขาย พอวางปุ๊บก็ถูกไล่ปั๊บ ทั้งปวดหัว
ปวดใจ ที่ลำปางผู้คนใจดีกว่า พอเราเอาดอกไม้ไปวางตรงที่ที่มีคนจองแล้ว
เขาจะบอกเราดี ๆ ไม่ไล่ แล้วเขายังหาที่ให้เราใหม่อีกด้วย” มีชัยเล่าพลางยิ้ม
“ขโมยอะไรก็ไม่มี พวกผมกิน-นอนตรงนี้ได้อย่างสบายใจ
ถ้าเป็นจังหวัดอื่นคงวางใจไม่ได้”
หากนับวันเวลาจากวันแรกจนถึงวันที่เริ่มมีชาวม้งเข้ามาขายดอกไม้ในเมืองลำปาง
ก็นานราว ๆ 10 ปีเห็นจะได้ ด้วยความที่ดอกไม้เดินทางตรงลงมาจากยอดดอย
ชนิดผู้ผลิตพบผู้บริโภค ราคาย่อมถูกกว่า
มีชัยยอมรับว่าพวกเขาคงทำให้ร้านขายดอกไม้อื่น ๆ ไม่สบายใจนัก
“พวกเราเองก็ใช่ว่าจะขายดีทุกเที่ยวครับ
ถ้าเป็นช่วงที่ดอกไม้ออกเยอะอย่างเดือนกันยายน ราคาก็จะถูก ยิ่งปีนี้รู้สึกเลยว่าแย่จริง
ๆ ของในตลาดมีแต่ขึ้น แต่ราคาดอกไม้กลับตกลงเรื่อย ๆ
ยังดีที่ช่วงหน้าหนาวไม่ค่อยใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้เลยก็ไม่ได้ ทั้งไรแดง เพลี้ยไฟ
หนอน พวกนี้บางทีลามมาจากแปลงคนอื่น ถ้าดอกไม่เสีย ฝนไม่ลง ก็พอลุ้นกำไรอยู่”
มีชัยบอกว่า
บางครั้งมีเงินลงดอยมาแค่พอเติมน้ำมันรถ ส่วนค่าอยู่ค่ากินมาหาเอาจากการขายดอกไม้
บางเที่ยวขาดทุน ได้เงินมาไม่พอค่าปุ๋ย ค่ายา
และค่าไฟที่ต้องเปิดในโรงเรือนดอกไม้ยามค่ำคืน
เขากับภรรยาต้องไปรับจ้างใช้แรงงานเพื่อปลดหนี้ แม้จะขาดทุนย่อยยับ
ภรรยามีชัยถึงกับเอ่ยปากว่าเข็ด ไม่ขอกลับมาอีก แต่ทุกครั้งเมื่อใกล้วันโกน วันพระ
เธอก็อดไม่ได้ที่จะชักชวนสามีให้ขับรถมาขายดอกไม้ในเมืองลำปาง
สายมากแล้ว
แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม มีชัยเพิ่งขับรถมาถึงเมื่อคืน และกังวลว่าหากฝนตก
คงไม่มีใครออกมาซื้อดอกไม้ แต่แล้วก็มีลูกค้าประจำมาสั่งดอกไม้ล็อตใหญ่ เขากำลังโล่งอก
ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขณะหันไปพูดกับภรรยาด้วยภาษาที่เราฟังไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่า
การเดินทางของดอกไม้จากดอยสูงคงไม่สูญเปล่าแล้วในเที่ยวนี้
กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง
(ร้อยเื่รื่องราว ฉบับที่ 925 วันที่ 10-16 พฤษภาคม 2556)