ย้อนรอย ‘บลูไดมอนด์’
คนจำนวนมากล้มตาย หายนะ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทย
และซาอุดิอารเบีย เลวร้ายลงจนลดระดับเหลือเพียงอุปทูต ที่มีหน้าที่เพียงติดตามข่าวสาร
ข้อมูล การสังหารนักธุรกิจ และนักการทูต รวมทั้งการติดตามโคตรเพชร “บลูไดมอนด์” ล้วนสืบเนื่องมาจากโจรกรรมบันลือโลก
โดยหนุ่มเมืองเถิน จังหวัดลำปาง นามเกรียงไกร เตชะโม่งทั้งสิ้น
คำถามก็คือเกรียงไกร ขนเคื่องเพชรมหาศาลผ่านด่านศุลกากรมาได้อย่างไร
ปรีชา สอาดสอน อดีตบรรณาธิการข่าวอาชญากรรม เนชั่น
จับเส้นทางการขนเพชรของเกรียงไกร ผ่านปากคำของเขา มีความบางตอนว่า..
คงเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับนักโจรกรรมมือหนึ่งแห่งดินแดนทะเลทรายแน่นอน
ขนาดทหาร-ตำรวจประจำพระราชวังไฟซอลมากมายเป็นกอง ยังใช้ความสามารถผ่านออกมาได้ แล้วทำไมแค่"ศุลกากร"เมืองไทย จะผ่านเข้ามาไม่ได้
"เกรียงไกร"ย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังจากนำเครื่องเพชรบรรจุกล่องปะปนกับสัมภาระอื่นๆ
เรียบร้อยแล้ว จึงทะยอยออกมาจากพระราชวัง มุ่งหน้ามายังสนามบิน
แต่สัมภาระที่นำติดตัวมานั้น มีน้ำหนักเกินกว่าที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องบินมาได้
จึงต้องเสียค่าสัมภาระเพิ่มเติม แต่เขาจำไม่ได้ว่าต้องเสียเงินเท่าไร
ไม่กี่ชั่วโมงก็บินลัดฟ้ามาถึงสนามบินดอนเมือง คราวนี้เริ่มมีปัญหาอยู่บ้าง
เขาจึงคิดว่าจะดำเนินการอย่างไรดี จึงจะผ่านมาตรการตรวจตราของศุลกากรไทยได้
"เกรียงไกร"จึงเริ่มไปเจรจากับเจ้าหน้าศุลกากรระดับล่างที่ทำหน้าตรวจตราคนหนึ่งว่า
จะขอนำสัมภาระที่เกินน้ำหนักเข้ามาภายในประเทศเราได้อย่างไร
เขาได้บอกกับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนนั้นว่า ข้างในนั้นบรรจุเครื่องไม้เครื่องมือทำมาหากินในประเทศซาอุฯ
แต่เพื่อตัดความรำคาญและเรื่องมาก เขาจึง มอบสิ่งตอบแทนให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น เป็นจำนวนมูลค่าเท่าไรนั้น
จำไม่ได้
ทำให้ศุลกากรคนนั้น ทำการตรวจเป็นพิธี เพียงแค่เปิดกล่องดูด้านบนเท่านั้น
ไม่ได้ตรวจตราลงลึกไปถึงภายในกล่อง จึงทำให้รอดการถูกจับกุมได้
ประการสำคัญที่รอดสายตาศุลกากรได้นั้น "เกรียงไกร" บอกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการแต่งกายเหมือนคนงานก่อสร้างที่ไปหากินขุดทองในดินแดนทะเลทราย
จนทำให้รายได้เข้าประเทศไทยมากมาย จึงทำให้ไม่ได้มีการเข้มงวดตรวจสอบสัมภาระอะไรกันมากมายเท่าไรนัก
สำหรับความเป็นอยู่ของ"เกรียงไกร" ก่อนหน้าไม่กี่ปีที่ลานนาโพสต์
จะบุกไปเจอเขา ต้องเรียกว่า ค่อนข้างยากจน บางวันก็มีรายได้จากการรับจ้างปีนต้นไม้
ให้กับชาวบ้าน หรือถ้ามีเพื่อนบ้านมาจ้างไปทำอะไรก็ไป ทำให้บางวันมีรายได้ประมาณ 200 บาท หรือบางวันก็ไม่มีรายได้อะไรเลย
ด้วยวัยถึงกว่า 50 ปีแล้ว จะไปรับจ้างปีนต้นไม้บ่อยๆ
ก็เป็นงานที่เสี่ยงเกินไป
ส่วนการรับจ้างที่ทำให้เขามีรายได้มากที่สุดนั้น "เกรียงไกร" บอกว่า ได้ซื้อรถไถนาเอาไว้ 1 คัน เมื่อมีชาวบ้านต้องการไถนา ก็จะขับรถคันนี้ออกไปรับจ้าง
โดยควักเงินเติมน้ำมันเอง และแบ่งรายได้กันคนละครึ่ง ทำให้เกิดรายได้วันหนึ่งๆ
ประมาณเกือบพันบาท แต่งานไถนา-ไร่ นั้นไม่ได้มีทุกวัน
หลายคนเข้าใจว่า "เกรียงไกร" น่าจะอมเครื่องเพชรเอาไว้บ้าง
หากใครได้ไปเห็นชีวิตความเป็นจริงแล้ว การใช้ชีวิตของเขานั้น ดูแล้วไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก
ตามประสาชาวบ้านเรียกว่า "พอกินพอใช้" ซึ่งไม่ได้แตกต่างอะไรกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในย่านนั้น
และสิ่งสำคัญที่สุด เส้นทางชีวิตเขาตอนนี้ ต้องมาเป็นหนี้สินหลายหมื่นบาท
เมื่อถามไป ถามมา ดันถูก"เกรียงไกร"ถามย้อนมาว่า "คุณมีเงินบ้างหรือเปล่า ผมอยากขอยืมสัก 3
แสน เพื่อมาใช้หนี้และเอาไว้มาใช้ทำมาหากินหน่อย หากผมยังอมเครื่องเพชรเอาไว้
ผมคงไม่อยู่ในหมู่บ้านนี้แน่ ผมคงย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว"
นี่แหละ..!! นักโจรกรรม แม้จะได้รับโทษไปแล้ว เส้นทางชีวิตเขายังไม่พ้นทุกข์กันอีก
และกับชีวิตวันนี้ ที่เป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนรุ่นหลัง
การได้มาซึ่งไม่ยั่งยืน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 950 วันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2556)