นานวันเข้า ล่องสะเปา
ก็ลอยเข้าสู่วังวนของอำนาจและผลประโยชน์ เงินแลกเอาโฟม
แลกเอางานเหมาประดับประดาดอกไม้ ที่น่าสงสัยว่าจะมี “เงินทอน”
ตามประเพณีปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างแบบไทยๆ หรือไม่ คนรุ่นใหม่เริ่มเลือนไปในคุณค่าของการล่องสะเปา
ซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นที่ลำปางแห่งเดียวในประเทศไทย
และก็เป็นเช่นเดียวกับที่อื่นๆ วัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ เริ่มถูกทดแทนด้วยวัสดุที่จะสะสมเป็นขยะพิษอยู่คู่กับโลกไปอีกแสนนาน
มีสักกี่คนที่ยังจำได้ถึงบรรยากาศการล่องสะเปา
ที่สะท้อนวิถีไทยที่งดงามเช่นอดีต ย้อนกลับไปเมื่อก่อนเราเรียกประเพณีลอยกระทงว่า
ล่องสะเปา ซึ่งหมายถึงเรือสำเภาในภาษาพื้นเมือง เมื่อถึงเทศกาลล่องสะเปา
ชาวบ้านจะจัดทำ “สะเปา” ขึ้นจากความเชื่อที่ว่า
การล่องสะเปาคือการทำทานให้แก่ผู้ล่วงลับ โดยใช้กาบกล้วย มะละกอ ไม้ไผ่
หรือกระดาษแก้วใส ตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้
หรือใช้กระดาษสีตัดเป็นลวดลายสวยงามติดด้านข้างลำสะเปาเพื่อตกแต่งให้สวยงาม
นอกจากนี้ยังมักใส่ ข้าวสุก กล้วย อ้อยควั่น ข้าวต้มจิ้ม น้ำตาล เกลือ ยาสูบ หมาก
พลู ดอกไม้ ธูป เทียน ลงไปในสะเปา เพราะเชื่อกันว่าผู้ล่วงลับที่ได้อุทิศส่วนกุศลหรือทำทานไปให้
จะนำสิ่งของเหล่านั้นไปใช้ในอีกภพหนึ่ง
“ล่องสะเปาจาวละกอน” ประเพณีในวันคืนเก่าแก่กำลังจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
จะมีการประกวดสะเปาอันงดงาม ชาวลำปาง หน่วยงาน ร้านค้าต่างๆ
จะร่วมกันตกแต่งบ้านเรือนด้วยตุงและโคมตามแบบฉบับล้านนา หรือที่เรียกว่า ซุ้มประตูป่า
ในยุคปัจจุบันก็จะรณรงค์ให้แต่งกายเสื้อผ้าพื้นเมือง
และจัดทำกระทงเป็นรูปเรือสำเภาตามแบบโบราณ
ย้อนเวลาคิดถึงเมื่อครั้งยังเด็ก งานลอยกระทง
จะเป็นงานตื่นตาตื่นใจมาก เพราะมีขบวนสะเปาเล็กล่องน้ำ และสะเปาใหญ่แห่บนถนนฉัตรไชย
ช่วงหัวค่ำคนลำปางต่างไปจับจองพื้นที่สองข้างทางรอชมขบวนแห่
พ่อค้าแม่ค้าจับจองที่ทางรอขายลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึก ข้าวโพด กระทง ฯลฯ
หน่วยงานต่างๆส่งสะเปาเล็กใหญ่ ประชันความคิดสร้างสรรค์ เพื่อส่งประกวดชิงรางวัล
เหล่านี้ล้วนเป็นสีสันตื่นตา และน่าภาคภูมิใจ
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน จากการที่คนในหน่วยงานระดมความคิดและกำลัง
ช่วยกันเสกสรรค์ปั้นแต่งผลงานเพื่ออวดโฉม กลายเป็นเอางบประมาณมาจัดจ้างให้ร้านตัดโฟม
จ้างเหมาร้านดอกไม้ทำงานแทน
สถาบันการศึกษาที่เคยมีบรรยากาศที่ครูศิลป์ออกแบบนักเรียน
นักศึกษาต่างร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผลงานที่ได้จึงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่า คนรุ่นใหม่ หรือกระทั่งคนรุ่นเก่าที่มองข้ามการรักษาประเพณีวัฒนธรรมที่งดงามเหล่านี้เท่านั้น
ประวัติศาสตร์อันเรืองรองของแผ่นดินนี้ ที่เป็นบ่อเกิดอารยธรรม
และประเพณีล่องสเปาก็เลือนหายไปด้วย
ตามตำนานบันทึกไว้ว่า
เมื่อจุลศักราช 309 พระยาจุเลราช ได้ครองราชสมบัติ ในนครหริภุญไชยในสมัยนั้นเมืองหริภุญไชยได้มีคนตายจำนวนมากจากโรคภัยไข้เจ็บ
ประชาชนชาวหริภุญไชยจำนวนมากจึงพากันหนีโรคภัยไปอาศัยอยู่ที่มืองสุธรรมวดี ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าภุกามราชผู้ครองเมืองสุธรรมาวดี
ไม่ยินดีที่จะต้อนรับชาวหริภุญไชย แม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ความกรุณาปราณี ฝ่ายชาวเมืองหริภุญไชยได้จึงพากันหนีจากเมืองสุธรรมาวดีนครไปยังเมืองหงษาวดีแล้วใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น
พระเจ้าหงษาวดีทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ชาวเมืองหริภุญไชยเป็นอย่างมาก
ชาวหริภุญไชยกับชาวหงษาวดีจึงได้มีรักใคร่กลมเกลียวต่อกันสืบมา ครั้งเมื่อครบ 6 ปี โรคภัยไข้เจ็บได้หายไป ผู้ที่ต้องการกลับมาอยู่เมืองหริภุญไชยก็พากันกลับมาสู่ภูมิลำเนาเดิม
คนที่ไม่อยากกลับบ้านเมืองเดิม ก็เลยอยู่อาศัยในเมืองหงษาวดีนั้นเสีย เพราะเหตุนี้
ผู้คนทั้งหลายที่ได้กลับมายังเมืองหริภุญไชยนี้แล้ว เมื่อคิดถึงหมู่ญาติที่อยู่เมืองหงษาวดี
ครั้งถึงกำหนดปีเดือน ก็เลยแต่งเครื่องสักการะลอยน้ำไปบูชาทางน้ำ ที่เรียกว่า
ลอยโขมด (ลอยไฟ) จึงกลายเป็นประเพณีลอยประทีปสืบมา
ประวัติศาสตร์นั้น
ทำให้เราภูมิใจในความมีรากเหง้า การรักษาประเพณีดั้งเดิม ด้วยฝีไม้ลายมือและจิตวิญญาณของคนลำปางแท้ๆ
กำลังถูกทำให้เลือนหายไป ด้วยการซื้อทุกสิ่งด้วยเงินแม้แต่สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้
ล่องสะเปาจาวละกอน
(แร็คลานนา คม - คิด ฉบับที่ 948 วันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2556)