วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไทย – ขะแมร์ บนเส้นทางประวัติศาสตร์บาดแผล

คำ พิพากษาศาลโลกล่าสุดกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร มิได้ตัดสินให้ฝ่ายใดชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ศาลปฎิเสธที่จะตัดสินตามคำขอของกัมพูชา ที่ให้รับรองสถานะของแผนที่ในฐานะเครื่องกำหนดเส้นเขตแดน เพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตคำพิพากษาเดิม เมื่อปี ๒๕๐๕ แต่ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งให้กัมพูชาได้พื้นที่เพียงบางส่วนเป็นชะง่อนผาที่ยื่นเข้าไปในเขตกัมพูชา พื้นที่เท่ารอยแมวข่วน ถ้าจะบอกว่าไทยเสียดินแดนก็พูดได้ แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ถ้าคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงที่เขตชายแดน

ประเด็นหาได้อยู่ที่แผ่นดินบริเวณรอบปราสาทพระวิหารเป็นของใครไม่ หากอยู่ที่ทัศนคติความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับเขมร ที่อยู่ห่างกันโดยระยะทาง คนไทยกับเขมรที่อยู่ร่วมกันในเขตชายแดน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเขตแดนถึงขนาดก้าวเดียวก็ก้าวข้ามพรมแดนกันไม่ได้

ทำไมคนเขมรจึงเกลียดชังคนไทยนัก และเหตุใดคนไทยจึงมีทัศนคติเป็นลบกับบางเรื่องราวในประวัติศาสตร์จนกระทั่งไม่ไว้วางใจเขมร เนื่องเพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อเท็จจริง ที่ชุดความเชื่อคนละชุด

ทัศนคติ ความคิด ความเห็นของคนในสังคมไทย ที่สะท้อนผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก ซึ่งเป็นผลิตผลของคนชั้นกลางในเมืองนั้น เข้าใจได้ชัดเจนว่า รังเกียจ และดูแคลนคนสัญชาติเขมร

ในหล่มโคลนข้อพิพาทบนพื้นที่ทับซ้อนรอบมรดกโลกปราสาทพระวิหาร คนเขมรเกลียดคนไทยด้วยแรงกระตุ้นของสื่อเขมร ยังไม่ต้องย้อนไปถึงยุคสมัยที่กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาบุกยึดครองเมืองพระนคร หรือกรุงยโศธรปุระ ของกัมพูชา สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๗ ซึ่งคนเขมรส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดถือเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลมาเจ็บแค้นคนไทยมากนัก

ตรงกันข้ามกับคนไทย ซึ่งไม่ลืมคนคิดคดทรยศอย่างพระยาละแวก จนเป็นที่มาของวาทกรรม พวกลูกหลานพระยาละแวก ทั้งที่นั่นเป็นสมัยที่ความเป็นรัฐชาติยังไม่เกิดขึ้น มีเพียงหัวเมืองน้อยใหญ่รบพุ่งแย่งชินดินแดนกันเท่านั้น

คนเขมร เรียกคนไทยว่า ไทยกง ซึ่งพัฒนามาจากความเกลียดคนเวียด หรือเวียดกง เสียมราฐ เมื่อต้องยกให้เขมร ในปี ๒๔๔๙ แลกกับด่านซ้าย จังหวัดเลย และตราดที่ฝรั่งเศสยึดไว้ตั้งแต่ปี ๒๔๔๖ ก็เปลี่ยนเป็นเสียมเรียบ แปลว่าสยามแพ้เรียบ

ยังมีคำประเภท ไทยคือสุนัขจิ้งจอกที่หิวดินแดนกัมพูชา  ไทยขี้แพ้ชวนตี  ถ้อยคำและอารมณ์เหล่านี้ ถูกตอกย้ำด้วยท่าทีอันแข็งกร้าวของฮุนเซน ผู้นำเลือดผสมเวียด  บ่มเพาะความเกลียดชังภายในใจของคนสองชาติให้มากขึ้น แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่าความรักชาติชนิดสุดโต่ง ด้วยอิทธิพลของสื่อ ด้วยอิทธิพลของกลุ่มอำนาจและผลประโยชน์ ในชื่ออดีตกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และชื่อใหม่ๆในปัจจุบัน ที่ปลุกกระแสชาตินิยมโดยไม่ใส่ใจและรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น จนกระทั่งวีระ สมความคิด ถูกจับตัวไป

ความรักชาติเป็นสิ่งที่ดี หลายยุคสมัยผู้นำในอดีตได้ใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องมือในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งปลุกเร้าให้เกลียดชังคนจีน จำกัดอาชีพคนจีนให้ทำงานได้บางประเภท ในสมัยที่สูญเสียปราสาทพระวิหาร ตามคำพิพากษาของศาลโลก

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีภาพความเป็นเผด็จการ และทุจริตคอรัปชั่น ยังมีคนยกย่องเขาด้วยถ้อยคำ

ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านด้วยน้ำตา แต่น้ำตาของข้าพเจ้าเป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคั่งแค้น และการผูกใจเจ็บไปชั่วชีวิตทั้งชาตินี้และชาติหน้า

การปลุกเร้าให้คนไทยยึดถือลัทธิชาตินิยม จนไม่อาจแยกแยะเหตุผล และมองภาพความเป็นจริงได้ ทำให้ความรักชาติกลายเป็นความคลั่งชาติ เติมฟืนในกองไฟให้โหมลุกไหม้ต่อไปไม่สิ้นสุด

หากรักอย่างขาดสติ ก็จะทำให้ปัญญามืดบอด คิดแต่จะเอาชนะ และไม่รู้ว่าจะชนะไปเพื่ออะไร ในยุคที่สร้างปราสาทพระวิหาร ไม่มีคำว่าเขตแดน การสร้างเทวสถานของกษัตริย์ขอมก็มิได้ยึดหลักการอ้างสิทธิเหนือดินแดน เป็นแต่เพียงการอุปถัมภ์ศาสนาและสร้างความสมานฉันท์ในหมู่คนพื้นเมือง 

ถึงแม้วันนี้ปราสาทพระวิหาร พื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร ก็มิได้เป็นของชาติไทยหรือกัมพูชา แต่เป็นสมบัติของมนุษยชาติ การกำหนดแนวเขตแดนให้ชัดเจนโดยสภาพภูมิศาสตร์ ก็เป็นปัญหาทางการเมืองที่จะต้องเจรจาความกันต่อไป เพื่อหาแนวทางหรือจุดร่วมที่ทั้งสองฝ่ายพอยอมรับกันได้ การชูธงรักชาติแต่ประการเดียว แล้วสร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยนั้น เป็นความรักชาติที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง

คำพิพากษาศาลโลกวันนี้ ท่าทีฝ่ายเขมรยังไม่ชัดเจนนัก แต่รัฐบาลไทยลิงโลดว่าชนะ คนไทยบางกลุ่มบอกว่าแพ้ ไม่ว่าจะอย่างไรถ้าคิดแบบ “คลั่งชาติ” ทุกคนล้วนพ่ายแพ้


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 950 วันที่ 15 - 21 พฤศจิกายน 2556)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์