จอกหูหนูแพร่พันธุ์เหนือเขื่อนกิ่วลม
แพท่องเที่ยวกระทบหนัก ชุมชนชาวแพระดมกำลังกับเจ้าหน้าที่ชลประทานตักจอกหูหนูขึ้นทิ้งบนบก
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าชั่วคราว ด้านสิ่งแวดล้อมเตือน หากไม่กำจัดโดยเร็ว แพร่ระบาดในเขื่อนยางแล้งนี้
แน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานที่สันเขื่อนกิ่วลม
จังหวัดลำปางขณะนี้ เกิดมีจอกแพร่ระบาดบนผิวน้ำจำนวนมาก
ส่งผลกระทบต่อท่าเรือหางยาว
และแพท่องเที่ยวจากบริเวณสันเขื่อนไม่สามารถเดินเรือได้ตามปกติ ล่าสุด
ผู้ประกอบการชุมชนชาวแพ และเจ้าหน้าที่โครงการ ส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม- กิ่วคอหมา
ร่วมกันกำจัดจอกหูหนูที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. เป็นต้นมา
นายปั๋น
มีครัว ผู้ประกอบการเรือและแพท่องเที่ยว และคณะกรรมการชุมชนชาวแพ กิ่วลม เผยว่า
ในช่วงเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาเริ่มมีจอกลอยมาสะสมบริเวณสันเขื่อน
และเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระทั่งขณะนี้ชาวแพและชาวบ้านที่ใช้เรือบริการนักท่องเที่ยวและเดินทางจากเขื่อนไปขึ้นท่าที่สันเขื่อนได้
รับความเดือดร้อนไม่สามารถเดินเรือและแพเข้าออกท่าได้สะดวกเพราะรากของจอกติดใต้ท้องแพ
และใบพัดต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมจึงเข้าออกท่าแพได้ชุมชนชาวแพจึงได้หารือร่วมกับทางชลประทานหน่วยงานที่ดูแลเขื่อนกิ่วลมเพื่อหาทางออก
จึงได้ร่วมกันลงแรงมาช่วยกันโกยจอกขึ้นมาจากผิวหน้าน้ำและขนออกจากสันเขื่อน
เพื่อลดปริมาณความหนาแน่นให้เรือเดินสะดวกขึ้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ระหว่างรอหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแก้ไข
"ที่เขื่อนกิ่วลมมีแพท่องเที่ยวทั้งหมด
35 ลำ และเรือหางยาวประมาณ 15 ลำ ทั้งหมด ต้องเข้าออกท่าที่สันเขื่อน
แต่เมื่อมีจอกหูหนูสะสมมากทำให้เข้าออกท่าลำบาก นักท่องเที่ยวที่มาขึ้นแพ
ต้องรอนานกว่าปกติ ผมเชื่อว่าขณะนี้จอกหูหนูมีมากกว่า 100 ตัน ซึ่งหนาแน่นเกินแรงคนจะทำได้
ดังนั้น จึงต้องอาศัยหน่วยงานรัฐใช้เครื่องจักรมาช่วยกำจัด
และอยากให้ทุกฝ่ายลงมาช่วยเหลือกำจัดโดยเร็วเนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูการท่องเที่ยว"

"จอกเหล่านี้คาดว่าจะไหลมาตามน้ำที่มาจากต้นน้ำ
ที่ไหลผ่านชุมชน เขตอำเภอแจ้ห่ม แล้วไหลลงมาอยู่ในเขื่อนและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ทางเขื่อนได้ปล่อยทุ่นเพื่อกั้นจอกไว้ที่สันเขื่อนเพื่อง่ายต่อการกำจัด
และยังไม่ปล่อยออกจากเขื่อนป้องกันการแพร่กระจายในแม่น้ำวัง
ด้านล่างเขื่อน"
ด้านนายสุวิทย์
ขัตติยวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 2 ลำปาง เผยว่า ภาวะที่เกิดจอกหูหนูแพร่กระจายหนักอย่างนี้
ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ต้องวิเคราะห์ว่าการแพร่กระจายของจอกแหนนั้น
มีปัจจัยจากอาหารของจอกซึ่งหมายถึงสารเคมี และภาวะน้ำเสียที่ปนมากับน้ำ
ทำให้แพร่กระจายได้เร็ว ซึ่งต้องดูภาพรวมทั้งหมด ว่าเหนือเขื่อนและต้นน้ำ
มีการใช้สารเคมีทางการเกษตร และอุตสาหกรรมรวมถึงน้ำเสียจากชุมชน สะสม
เมื่อเกิดจอกในแหล่งน้ำเขตชุมชนไหลมาลงที่เขื่อนก็
ต้องเกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน
"ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นปรากฏการคล้ายกับที่เกิดขึ้นในกว๊านพะเยา
และที่จังหวัด สุพรรณบุรี นครปฐม ที่มีจอกระบาด แล้วเกิดปัญหาที่ปลายน้ำ
และเชื่อว่าหากจอกไหลลงไปตามแม่น้ำวัง เพียงเล็กน้อยในฤดูแล้งนี้
จะเกิดภาวะแพร่กระจายในแม่น้ำวังเหนือเขื่อนยางอย่างแน่นอน
เพราะบริเวณตัวเมืองมีน้ำเสียซึ่งเป็นอาหารของจอกจำนวนมาก
ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเร่งจับมือกันแก้ปัญหา จากต้นน้ำ และกำจัดที่เขื่อน และกำจัดจอกหูหนูตลอดเส้นทางแม่น้ำ
ก่อนที่จะแพร่กระจายอย่างหนักในฤดูแล้งนี้ " นายสุวิทย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลด้านวิชาการไปยัง
ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง กล่าวว่า
ปัญหาการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วของจอกน่าจะเกิดจากสภาพน้ำนั้นเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของวัชพืชน้ำ เช่น มีแสงแดดดี
มีธาตุอาหารที่วัชพืชน้ำต้องการ คือ ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม
และในกรณีที่มีวัชพืชน้ำขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
เป็นตัวชี้วัดให้เห็นว่าในแหล่งน้ำนั้นมีธาตุอาหารต่างๆอย่างอุดมสมบูรณ์
จึงก่อให้เกิดภาวะยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication) ซึ่งการเจริญเติบโตของวัชพืชเหล่านี้นับว่าเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์เป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากจะบดบังแสงแดดทำให้พืชน้ำอื่นๆตาย
และทำให้ออกซิเจนละลายในน้ำได้น้อยลง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
และที่สำคัญวัชพืชเหล่านี้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการอุปโภคและบริโภคจากแหล่งน้ำนั้นๆ
เมื่อสอบถามเพิ่มเติมว่า
การที่วัชพืชน้ำเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วขนาดนี้ เรียกว่าผิดปกติ หรือไม่อย่างไร
เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติไหม? ดร.สุรพล กล่าวว่า
การเจริญเติบโตของวัชพืชน้ำนั้นต้องการธาตุอาหาร
ซึ่งปกติแล้วในแหล่งน้ำธรรมชาติจะมีธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม
ในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก แต่ในแหล่งน้ำที่รองรับน้ำทิ้งจากชุมชนหรืออุตสาหกรรมมักจะมี
ไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัสสูง ซึ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตของวัชพืชได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนของวัชพืชน้ำอย่างรวดเร็ว
จากที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้มาก่อนนั้น
บ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสมบัติของน้ำที่น่าเป็นห่วง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963 31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557)