จากรณีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.)
ระงับการออกอากาศของสถานีวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตาม
กฎหมาย
และสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ
ตามประกาศฉบับที่
66/2557 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ส่งผลให้สถานีวิทยุชุมชนต้องหยุดออกอากาศ
โดยสถานีวิทยุที่ได้รับใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการประเภทกิจการบริการธุรกิจ
ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้
ด้านบริการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับลูกค้าที่ซื้อเวลาประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ
และรับภาระเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจและลูกจ้าง
ผู้
สื่อข่าวรายงานว่า
ขณะนี้ผู้ประกอบการวิทยุธุรกิจต่างเร่งดำเนินการในการนำเครื่องส่งวิทยุ
ปรับแก้ไขและนำเครื่องส่งสัญญาณส่งตรวจสภาพเครื่องตามมาตรฐาน
ที่กรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนด
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่ากำหนดให้สถานีวิทยุทุกแห่งที่มีใบอนุญาตทดลอง
ประกอบกิจการ
ดำเนินการเขียนแบบและให้วิศวกรรับรองแบบก่อสร้างติดตั้งเสาส่งสัญญาณ
เพื่อขออนุญาตตั้งเสาส่งสัญญาณกับองค์กรส่วนท้องที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน
จึงเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและอนุญาตให้ออกอากาศซึ่งยังไม่ระบุชัดเจนว่าจะ
พิจารณาเมื่อไหร่
อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้
ผู้ประกอบการวิทยุธุรกิจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและมีให้ความเห็นตรงกันว่า
การกำหนดระเบียบหลักการดังกล่าว
เป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตและหารายได้อันไม่ชอบธรรมในกระบวนการตรวจ
สอบที่เกี่ยวข้องก่อนได้รับอนุญาต
เช่น การเรียกร้องค่าเซ็นรับรองแบบก่อสร้างของวิศวกร
บางรายเรียกค่าดำเนินการ
หลักหมื่นสูงสุดถึง 30,000 บาท ค่าเขียนแบบก่อสร้างติดตั้งเสา ราคาเกือบ
20,000บาท
หรือมากกว่านั้น
นอกจากนี้ยังมีค่าปรับแก้ไขเครื่องส่งสัญญาณให้ได้มาตรฐานที่
กสทช.กำหนด ราคา 20,000-40,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายร่วมแสนบาท
ขณะที่รายได้จากค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ขาดไปทันที
ทำให้แบกภาระทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หลักแสนบาท
ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจโฆษณาและกลุ่มวิทยุชุมชนบางส่วน
ยังรอความชัดเจนของการออกอากาศ และบางส่วนเตรียมแผนขอเช่าซื้อเวลาจากสถานีวิทยุคลื่นหลักซึ่งมีอัตราค่าเวลาสูง
เพื่อรักษาฐานลูกค้าโฆษณาและหารายได้ระหว่างที่สถานีท้องถิ่นหยุดออกอากาศ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า
ขณะนี้มีกระแสข่าวในวงการวิทยุท้องถิ่นในลำปางว่า ธุรกิจประเภทสินค้าและบริการ
รวมถึงองค์กรภาครัฐและเอกชนที่อาศัยช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อวิทยุท้องถิ่น
ส่วนหนึ่งเริ่มขยับฐานการเช่าซื้อเวลา และสนับสนุนงบประมาณประชาสัมพันธ์ไปยังสถานีวิทยุคลื่นหลัก
โดยในจังหวัดลำปาง มี 4 สถานีวิทยุคลื่นหลัก ได้แก่ สถานีวิทยุตำรวจภูธรภาค 5
ลำปาง 91.50 MHz. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศจังหวัดลำปาง
(สวท.ลำปาง) 97.0 MHz. สถานีวิทยุ อสมท. ลำปาง 99.0 MHz.
และ สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพภาคที่ 3 ลำปาง 101.75 MHz.
มติมนต์ คำมณี
ผู้จัดการพื้นที่จังหวัดลำปาง บ. ศิลามาร์เกตติ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ร่วมผลิตรายการวิทยุ
อสมท. เผยว่า ในส่วนของการตลาดและการจัดผังรายการวิทยุ อสมท. ในส่วนของบริษัทศิลามาร์เกตติ้ง
ยังคงยันราคาเดิมเป็นมาตรฐาน
และไม่มีการขึ้นราคาค่าเช่าซื้อเวลาโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด โดยเฉลี่ยค่าเวลาอยู่ที่ 50,000 บาท/ชั่วโมง/เดือน
และขณะนี้กลุ่มลูกค้าโฆษณายังไม่มีตัวเลขสถิติเพิ่มขึ้นไปมากกว่าภาวะปกติ
แต่มีข่าวฝากประชาสัมพันธ์เข้ายังสถานีฯเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่องทางการประชาสัมพันธ์
ผ่านสื่อวิทยุ มีน้อยลงข่าวสารจึงถูกส่งมาเพิ่มขึ้น
พ.อ.จรินทร์รัตน์ นาคสนิท
รองประธาน คณะกรรมการดำเนินการกิจการวิทยุกระจายเสียง กองทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า
สถานีวิทยุที่อยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 3 ทั้งหมด 8 สถานี ซึ่งหนึ่งในนั้น มี
สถานีวิทยุที่ลำปางด้วยนั้น ยังคงดำเนินไปตามระเบียบและข้อกำหนดของวิทยุสาธารณะ
โดยเน้นการบริการข่าวสารและความบันเทิงเพื่อสาธารณะ
ซึ่งมีสัดส่วนของการให้เวลากับนักจัดรายการวิทยุหรือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาทำรายการวิทยุที่เป็นประโยชน์
และไม่ขัดกับระเบียบ ดังนั้นเมื่อวิทยุชุมชน
ถูกระงับการออกอากาศอาจจะมีข่าวสารเข้ามาให้ทางสถานีวิทยุช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
แต่ไม่ได้เป็นการบริการโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบธุรกิจ
และขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีการขอเช่าซื้อเวลาเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติแต่อย่างใด
ถิร
ไชย แจ้งไพร
ผอ.สวท.ลำปาง เปิดเผยว่า ทางสถานีวิทยุ สวท.ลำปาง
ยังคงเน้นย้ำนโยบายในการปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศของ
คสช. เกี่ยวกับการออกอากาศวิทยุกระจายเสียงอย่างเข้มงวด
และยังไม่มีการปรับผังรายการวิทยุ
หรือมีการจัดสรรเวลาเพิ่มเติมในรูปของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ แบบธุรกิจ
โดยในส่วนของการบริการสังคมและสาธารณะนั้นมีสัดส่วนผังรายการด้านความ
บันเทิง
ไม่เกิน 20 % ของผังรายการทั้งหมด
ซึ่งมีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ในภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆในท้องถิ่นเป็นรายได้ใช้ในบริหารจัดการ
โดยรายได้ที่เข้ามาทั้งหมดเฉลี่ยประมาณเดือนละ 50,000 บาท รายได้ดังกล่าว แบ่งเป็น
3 ส่วน ส่วนแรก 50 % ใช้เพื่อการบริหารจัดการและเบี้ยเลี้ยงล่วงเวลาเจ้าหน้าที่ ส่วนที่ 2 และ 3 ส่วนละ 25 % ของ
รายได้ ส่งกลับไปยังกระทรวงการคลังและสำนักงานเขต
กรณีวิทยุชุมชนจะระงับการออกอากาศ
เกิดผลดีในทางเทคนิค
คือคลื่นความถี่ถูกรบกวนน้อยและมีศักยภาพในการกระจายเสียงระยะไกลเพิ่มขึ้น
จากเดิม
แต่ในส่วนของงานด้านผังรายการยังไม่พบว่ามีการย้ายฐานการโฆษณาประชาสัมพันธ์
มายังคลื่น
สวท.มากกว่าปกติแต่อย่างใด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 984 ประจำวันที่ 27 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 2557)