กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
นิยามของทะเลอาจเป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวที่นึกถึงกันเฉพาะช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
และมันก็ดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเราอย่างมากหากวัดกันที่ระยะทาง แต่เชื่อหรือไม่ว่า
พฤติกรรมบางอย่างของคนลำปางก็อาจส่งแรงกระเพื่อมไปถึงท้องทะเลได้เหมือนกัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้
รองหัวหน้ากลุ่มงานอนุรักษ์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (IUCN) ออกมาเปิดเผยถึงผลการสำรวจและเก็บข้อมูลจากตลาดร้านค้าปลาตามแนวชายฝั่งทะเล
รวมทั้งห้างค้าส่งขนาดใหญ่ พบว่ามีการนำปลานกแก้วมาขายกันมากจน “น่าใจหาย” ทั้ง ๆ ที่เดิมทีปลาชนิดนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมกินกันสักเท่าไร
เจ้าหน้าที่ได้สอบถามไปยังห้างค้าส่งขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็ได้รับคำตอบว่า
ปลานกแก้วที่นำมาขายนั้นมาจากการเพาะเลี้ยง โดยนำลูกปลามาจากทะเล
จากนั้นเพาะเลี้ยงจนมีขนาดที่สามารถนำออกมาขายได้ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวก็ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศอย่างมาก
ในบรรดาปลาสวยงามที่สร้างสีสันให้กับโลกใต้ทะเล
ปลานกแก้ว (Parrotfish) นับเป็นปลาโดดเด่นกลุ่มหนึ่ง ด้วยสีสันสดใสและเกล็ดเรียงเป็นระเบียบ
ลำตัวทรงแบนยาวรีขนาดราว 30-40 เซนติเมตร
ซึ่งนับเป็นปลาสวยงามที่มีขนาดใหญ่
เราจะพบปลานกแก้วในท้องทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน มันมีฟันแข็งแรง
ลักษณะติดกันเป็นแผงยื่นออกมานอกเรียวปากทั้งด้านล่างและด้านบนดูคล้ายจะงอยปากของนกแก้ว
อันเป็นที่มาของชื่อปลานกแก้วนั่นเอง นอกจากปากจะเหมือนนกแก้วแล้ว
สีสันของมันยังจัดจ้านเหมือนนกแก้ว มีตั้งแต่สีเขียว สีแดง สีเหลือง และลายดำแดง
แล้วท่าทางการว่ายน้ำของมันก็แสนจะเป็นเอกลักษณ์
โดยมันจะใช้ครีบข้างลำตัวกางโบกน้ำแล้วหุบเข้ามาติดลำตัว โบกแล้วหุบ โบกแล้วหุบ
เป็นจังหวะราวกับการกระพือปีกบินของนก
ปลานกแก้วอาศัยอยู่ในน้ำทะเลค่อนข้างใส
ว่ายเวียนหากินอยู่ตามแนวปะการังโครงสร้างแข็ง
เพราะธรรมชาติออกแบบปากและฟันของมันให้แข็งแรงเหมาะกับการขูด กัด แทะ
กินสาหร่ายที่เคลือบอยู่บนโขดหิน หรือโขดปะการัง
รวมทั้งยังขูดกินตัวปะการังขนาดเล็กจากปะการังโครงสร้างแข็งทั้งหลาย โดยใช้แผงฟันที่มีแถวบน
2 แถว แถวล่าง 2 แถว ขูด หรือแทะผิวหน้าของปะการัง
ทั้งนี้ ปลานกแก้วจะมีอวัยวะภายในสำหรับแยกแยะฝุ่นผงที่เป็นโครงสร้างหินปูน
เพื่อขับถ่ายออกมาคืนสู่ท้องทะเล
นักดำน้ำจะได้ยินเสียงกรอด ๆ
อย่างชัดเจนหากดำน้ำอยู่ใกล้ ๆ ปลานกแก้ว และแน่นอนว่าย่อมได้เห็นพฤติกรรมกินไป ขับถ่ายฝุ่นผงไปเป็นระยะ
ทั้งนี้ จากการวิจัยพบว่า
ปลานกแก้วแต่ละชนิดเฉลี่ยแล้วจะถ่ายออกมาเป็นทรายละเอียดถึงปีละ 90 กิโลกรัม
นับเป็นการเพิ่มปริมาณเม็ดทรายในท้องทะเลและหมุนเวียนแร่ธาตุในแนวปะการัง
ทว่าปลานกแก้วเป็นปลาสวยงามที่โชคร้าย
ไม่ใช่ถูกจับไปเลี้ยงเป็นปลาตู้เหมือนปลาทะเลชนิดอื่น แต่มันมัก
ถูกจับขึ้นมาเพื่อ “กิน” อย่างไรก็ตาม ปลานกแก้วเป็นปลาที่กินสาหร่าย กินปะการังเป็นอาหาร
จึงไม่ยอมกินเบ็ดง่าย ๆ
และเป็นปลาที่ไม่ค่อยมุดเข้าลอบดักปลาของชาวประมงเหมือนปลาอื่น ๆ อีกทั้งเป็นปลาที่หากินอยู่กับแนวปะการัง
มันจึงไม่ค่อยติดอวน เพราะอวนไม่สามารถเข้าไปลากได้ถึงแนวหิน หรือแนวปะการัง
ซึ่งทั้งหมดเป็นเขตอนุรักษ์
วิธีที่ชาวประมงจะสามารถจับปลานกแก้วได้
ก็โดยวิธีดำน้ำลงไปยิงด้วยฉมวก หรือดำลงไปพ่นไซยาไนด์ให้ปลามึนเมา
แล้วจึงจับใส่ถุงตาข่ายขึ้นมา
ใครซื้อปลานกแก้วกินคงต้องเสี่ยงกับไซยาไนด์ที่ตกค้างอยู่ตามเหงือกและเครื่องในของปลา
ทางที่ดี
ละเว้นปลานกแก้วให้เป็นปลาสวยงามและทำหน้าที่รักษาความสมดุลให้แนวปะการังดีกว่า
บ้านเราร้านหมูกระทะบางร้านมีเนื้อปลานกแก้วเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วย
โดยการสั่งมาจากกรุงเทพฯ หรือแม้แต่ห้างค้าส่งขนาดใหญ่ในลำปางก็มีปลานกแก้วขายด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ที่น่าตกใจสำหรับนักดำน้ำก็คือ แผนกขายเนื้อปลาแช่แข็งยังมีเนื้อปลาโรนันแล่แพ็กใส่ถุงชนิดพร้อมกินได้เลย
ปลาโรนัน (Guitarfish) มีส่วนหางคล้ายฉลาม ส่วนหัวแบนแหลมเหมือนกระเบน ซึ่งเป็นรอยต่อของวิวัฒนาการจากปลาฉลามถึงปลากระเบน
โดยวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคจูราสสิกตอนต้น
เป็นปลาที่พบได้น้อยและมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ มันชอบหากินสัตว์น้ำต่าง ๆ
ตามหน้าดิน จึงเป็นเหยื่อเครื่องมือประมงแบบทำลายล้างอย่างอวนรุน และโดยเฉพาะอวนลาก
ซึ่งประเทศอื่น ๆ เขาโละทิ้งกันหมดแล้ว
IUCN เรียกร้องให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
(ทช.) ออกมาให้ความรู้กับประชาชนเรื่องปลานกแก้วให้มากว่า หากปลานกแก้วหายไป
จะเกิดอะไรกับระบบนิเวศใต้ท้องทะเล จริง ๆ แล้ว IUCN น่าจะชงเรื่องที่ใหญ่กว่านี้อีกหน่อย
คือ เรื่องอวนลาก ซึ่งมีแต่ประเทศไทยที่ยังไม่มีกฎหมายเข้มงวดในเรื่องนี้
ปล่อยให้เรืออวนลากไถคราดท้องทะเลอย่างบ้าคลั่งจนสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนั้นร่อยหรอลงทุกที
แต่ก็อย่างว่า ภูเขาถูกทำลายนับเป็นเรื่องใกล้ตัว ต้นไม้ถูกตัดโค่นเป็นสิ่งที่เรามองเห็น แต่สำหรับท้องทะเล ที่ว่าเป็นเรื่องไกลตัวนั้น บางครั้งการกระทำของเราก็ส่งผลสะเทือนไปถึงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 986 ประจำวันที่ 11 - 17 กรกฎาคม 2557)