กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
ต่อหน้าเทือกดอยที่ตอนนี้ห่มคลุมไปด้วยเมฆฝน
ผืนนาแห่งบ้านทรายใต้มองดูเหมือนผืนผ้าปะติดปะต่อกันจนแผ่ไพศาลกว้างไกล
โดยมีสีเสื้อของกลุ่มชาวนาแต่งแต้มอยู่เป็นหย่อม ๆ ตรงนั้นตรงนี้
เมื่อมองจากเถียงนากลางทุ่ง มันดูสวยงามราวกับภาพวาด
ฤดูแห่งการทำนาเริ่มแล้ว ศรีนวล
สีธิสุข ชาวนาแห่งบ้านทรายใต้ ง่วนอยู่กับการดำนาเหมือนคนอื่น ๆ ในที่นาอันเก่าแก่
ซึ่งตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ภาพของผืนนาเจิ่งน้ำ มีต้นกล้าที่เพิ่งผ่านการปักดำเรียงแถวมองดูคล้าย
ๆ กัน ทว่าที่นาของศรีนวลไม่เหมือนใคร ผืนนาขนาด 5 ไร่ของเธอใคร ๆ
ก็จำได้ เพราะนาผืนนั้นมี “ตาเหลว”
ขนาดใหญ่ปักอยู่อย่างโดดเด่น
ตาเหลว หรือเฉลวทำจากไม้ไผ่ที่สานหัก
หรือขัดกันเป็นมุมเหมือนตาชะลอม โดยนิยมทำกันเป็น 3 แฉก 5 แฉก 8 แฉก ไปจนถึง 12 แฉก บ้างก็ว่า
เฉลวที่มีรูปทรงไม่เหมือนกัน หมายถึงการเสกคาถาอาคมลงอักขระแตกต่างกัน เฉลว 3
แฉก ลงอักขระ มะ อะ อุ หมายถึง ขอให้อำนาจพระเจ้าทั้งสามประสาทพร
ให้หายจากอาการป่วยไข้ เฉลว 5 แฉก ลงอักขระพระเจ้า 5 พระองค์ คือ นะ โม พุท ธา ยะ และเฉลว 8 แฉก ลงอักขระ
อิติปิโส 8 ทิศ เฉลวในที่นี้จึงเปรียบเหมือนยันต์ศักดิ์สิทธิ์
สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้าย เสนียดจัญไร ไม่ให้เข้ามากล้ำกราย
หรือป้องกันการถูกกระทำด้วยคาถาอาคม ภูตผีปีศาจ
พจนานุกรมสถาปัตยกรรมและศิลปเกี่ยวเนื่องของศาสตราจารย์โชติ
กัลยาณมิตร ให้ความหมายคำว่าเฉลวไว้ว่า “ก. เครื่องกั้นเขตห้าม
ห้ามแตะต้อง ห้ามล่วงสิทธิ์ โบราณใช้ปักฝาหม้อยาเพื่อป้องกันผู้อื่นเปิด
หากปักอยู่ตามสิ่งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านเรือน แพ ฯลฯ
ก็หมายถึงห้ามละเมิดสิทธิ์ ข. สิ่งใดที่ประสงค์จะแจ้งขาย ก็ใช้เฉลวปัก
หรือแขวนไว้เช่นกัน ค. เครื่องป้องกันรังควาน หรือเครื่องอาถรรพ์”
ส่วนวิบูลย์ ลี้สุวรรณ
กล่าวถึงเฉลวในหนังสือศิลปะชาวบ้านว่า “คนไทยใช้ตอกไม้ไผ่สานขัดกันเป็นเฉลวสำหรับปักบนหม้อ
เพื่อป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็นไม่ให้มาทำให้ยาเสื่อม
หรือใช้เฉลวปักในไร่นาป้องกันสิ่งชั่วร้ายทำลายข้าวและพืชผล
หรือใช้เฉลวปักบอกขอบเขตและแสดงความเป็นเจ้าของ”
ด้านตำนานล้านนาเล่าว่า
เฉลวมีที่มาจากตำนานเรื่องขุนตึง โอรสขุนเติง กษัตริย์หิรัญนครเงินยาง
ใช้ตะขอกวัดไกวสร้างเมืองที่ได้จากพระเจ้าตาที่เป็นพญานาค
เนรมิตเมืองให้ตัวเองครอบครอง เมืองนี้นอกจากมีคนอยู่มากมายแล้ว
ยังมีลิงเชื้อสายของมารดาอาศัยอยู่ด้วย ลิงเหล่านี้ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน
ขุนตึงจึงต้องไปขอร้องพญาเหยี่ยวให้มาช่วยไล่ลิง แต่ลิงก็กลัวเหยี่ยวเฉพาะตอนที่เหยี่ยวบินมาเท่านั้น
ขุนตึงจึงให้ชาวบ้านสานตอกเป็นรูปตาแหลว (ตาเหยี่ยว)
พวกลิงเห็นตาแหลวก็คิดว่าเหยี่ยวมา จึงกลัว ชาวบ้านจึงนิยมทำตาแหลวเอาไว้
ตามความเชื่อของชาวไทยใหญ่
ในวันแรกที่หว่านกล้าลงบนผืนดิน พวกเขาจะปักตาเหลวไว้ในนาด้วย เพื่อป้องกันผีกะหลุกมาขโมยข้าวกิน
สำหรับศรีนวล เมื่อถึงเวลาแฮกข้าว
หรือดำนา เธอจะทำในสิ่งที่พ่อของเธอเคยทำ นั่นก็คือ นำตาเหลวมาปักบนที่นา ตาเหลวของศรีนวลยังคงรูปแบบดั้งเดิมที่ครอบครัวเคยทำมา
โดยมีลักษณะเป็นตาเหลว 3
แฉกขนาดใหญ่ มีสร้อยห้อยลงมาทั้ง 2 ด้าน ข้างล่างจัดวางข้าวตอก
ดอกไม้ ปลาแห้ง กล้วย ข้าวเหนียวปั้น จากนั้นจึงบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่นาให้พวกเขารับรู้ว่า
ถึงเวลาทำนาแล้ว ขอให้ช่วยคุ้มครองต้นข้าว ให้ได้ข้าวดี ๆ ในปีนี้
“ถ้าไม่ปักตาเหลวก่อนทำนาจะไม่สบาย
เพราะไม่บอกกล่าวเขาก่อน” ศรีนวลพูด
และไม่ว่าคนในครอบครัวจะแยกไปทำนาที่อื่น ก็ต้องมาบอกกล่าวที่นาตรงนี้ก่อนเสมอ
ตาเหลวจะถูกปักเคียงคู่ผืนนาไว้อย่างนั้น
เมื่อถึงวันเก็บเกี่ยว ศรีนวลจะเตรียมเหล้าไห ไก่คู่ ไปทำพิธีเลี้ยงขอบคุณอีกครั้ง
เธอเชื่อว่า ความเชื่อที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายนี้
บันดาลให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุขและได้ข้าวดีทุกปี
ทุกวันนี้ เป็นความจริงที่ว่า ผืนนาส่วนใหญ่ในบ้านเราไร้เงาของตาเหลวไปเสียแล้ว
พิธีกรรมอันเก่าแก่ถูกย่นย่อให้กระชับเหลือเพียงหมาก 1 คำ
พลู 1 ใบ พร้อมกับคำบอกกล่าวสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม
ศรีนวลยืนยันว่า เธอจะยังคงปักตาเหลวทุกครั้งที่เริ่มทำนา
ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนจะไม่เพียงปลูกข้าว
หากแต่ได้หย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดความเชื่ออันแน่วแน่ลงในที่นาผืนนี้ด้วย
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 990 ประจำวันที่ 8 - 14 สิงหาคม 2557)