กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
จะว่าไปแล้ว
เมืองลำปางเรามีสะพานรูปทรงเป็นเอกลักษณ์อยู่หลายสะพาน ซึ่งก็ล้วนแต่เก่าแก่อายุอานามใกล้
100 ปีเข้าไปทุกขณะ ตั้งแต่สะพานขาว หรือสะพานรัษฎาภิเศก
ที่อยู่คู่อำเภอเมืองฯ มา 97 ปี สะพานดำแถวตลาดเก๊าจาวในตำบลสบตุ๋ย
สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำวัง โครงสร้างเหล็กแบบโครงถัก สันนิษฐานกันว่า
สะพานแห่งนี้คงสร้างขึ้นไม่ก่อนไปกว่าปี พ.ศ. 2464 ซึ่งเป็นปีที่รถไฟวิ่งไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้ว
แต่ที่แน่ ๆ สะพานดำถูกซ่อมและสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2509
ห่างออกไปจากอำเภอเมืองฯ ราว 83 กิโลเมตร
ที่อำเภองาว ที่นั่นมีสะพานเก่าแก่อีกสะพานหนึ่งที่คนเมืองงาวรู้จักกันดี
รวมไปถึงบรรดาผู้ที่ถวิลหาอดีตและช่างภาพก็ชื่นชอบ
เมืองงาวเป็นเมืองเก่าแก่มาแต่โบราณ
มีอายุมากกว่า 700
ปีมาแล้ว แรกเริ่มเมืองงาวมีเจ้าผู้ครองนครที่ขึ้นต่ออาณาจักรหิรัญนครโยนกเชียงแสน
ประมาณปี พ.ศ. 1780 เมืองนี้ได้เป็นที่ตั้งหลักแหล่งของชาวเชียงแสนที่อพยพหนีภัยจากการรุกรานของพวกไทยใหญ่ลงมาตามลำน้ำงาว
โดยเริ่มตั้งหลักแหล่งที่ดอยห้วยอุ้ม ดอยปากบอก ดอยผาแดง ดอยบ่อสี่เหลี่ยม และดอยผาไท
หัวหน้าคนสำคัญของเมืองนี้ในครั้งนั้น ได้แก่ แสนเมือง
ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับพ่อขุนงำเมือง เมืองพะเยา เจ้าแสนเมืองได้สร้างคุ้มหลวงขึ้น
เนื่องจากที่ตั้งอยู่บนที่สูง จึงเรียกว่าเวียงบน
และได้สร้างวัดแห่งแรกของเมืองงาวขึ้น ให้ชื่อว่าวัดพระธาตุตุงคำ
ปัจจุบันคือวัดศรีมุงเมือง
ในยุคนั้นบ้านเมืองช่างสมบูรณ์พูนสุข
อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร การค้าขายก็รุ่งเรืองเฟื่องฟู
ในเวลาต่อมาจึงได้รับการเรียกขานว่าเมืองเงิน ในปี พ.ศ. 2302 เมืองเงินกลายเป็นเมืองหน้าด่านของลำปาง
มีนายทหารคนสำคัญ ซึ่งครั้งหนึ่งยกทัพไปรบเมืองเชียงตุง
ได้ง้าวเงินเล่มหนึ่งมามอบให้เจ้าผู้ครองนครลำปาง
เจ้าเมืองลำปางจึงมอบยศเจ้าเมืองง้าวเงินให้กับนายทหารผู้นี้
และให้เรียกเมืองเงินเสียใหม่ว่าเมืองง้าวเงิน ต่อมาภายหลังเมื่อมีการทำไม้
เมืองงาวเป็นแหล่งไม้สักสำคัญ มีการล่องซุงผ่านแม่น้ำงาวลงมา
ชื่อเมืองจึงเปลี่ยนไปตามลำน้ำ กลายเป็นเมืองงาวในที่สุด
เมืองงาวมีแลนด์มาร์กอยู่ที่สะพานโยง
เช่นเดียวกับที่ตัวเมืองลำปางมีสะพานรัษฎาภิเศก สะพานโยงเป็นสะพานแขวนกลางเมือง
อยู่ระหว่างตำบลหลวงใต้กับตำบลหลวงเหนือ มีที่มาจากการล่องซุงในแม่น้ำงาวและการตัดถนนพหลโยธิน
นั่นคือประมาณปี พ.ศ. 2458
ถนนพหลโยธินตั้งต้นสร้างจากกรุงเทพฯ เรื่อยมาถึงเมืองงาว
แล้วก็พบว่ามีแม่น้ำงาวขวางกั้นอยู่ จะสร้างสะพานแบบธรรมดาก็ไม่ได้
เพราะในแม่น้ำมีซุงไม้สักทองต้นใหญ่ ๆ ล่องผ่านมากมาย สะพานคงจะพังเสียก่อน
แล้วซุงไม้สักก็คงล่องต่อไปลงแม่น้ำยมไม่ได้ เช่นนั้นสะพานข้ามแม่น้ำงาวจึงถูกกำหนดสเป็กขึ้นใหม่ให้เป็นสะพานแขวนแห่งแรกของประเทศไทย
ออกแบบก่อสร้างโดยนายช่างชาวเยอรมัน ควบคุมการก่อสร้างโดยขุนเจนจบทิศ
ส่วนเจ้าของโครงการคือ กรมทางหลวงแผ่นดิน ในความดูแลของขุนขบวนบถดำริห์
สะพานโยงเริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2469 ใช้เวลาในการสร้าง
18 เดือน เปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2471 มีความยาว 80 เมตร กว้าง 4 เมตร
เสากระโดงสองฝั่งสูง 18 เมตร เป็นสะพานเหล็กแขวนที่ใช้รอกดึง
ไม่มีเสากลาง วางโครงเหล็กเหมือนทางรถไฟ ใช้ไม้หมอนเรียงเป็นลูกระนาด
ปูไม้กระดานทับเฉพาะช่วงล้อรถยนต์ มีทางเท้าทั้งสองฝั่ง ใช้สลิงยึดตลอดตัวสะพาน
เดิมทีสะพานโยงไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ
แต่กรมทางหลวงแผ่นดินเรียกว่าสะพานข้ามลำน้ำแม่งาว
ทำหน้าที่เชื่อมการเดินทางด้วยถนนพหลโยธินจากภายนอกไปสู่เมืองพะเยาและเมืองเชียงรายอยู่หลายสิบปี
กระทั่งมาเลิกใช้เพราะมีการสร้างเส้นทางถนนพหลโยธินสายใหม่ขึ้น เป็นเส้นทางบายพาส
ไม่ผ่านเข้ามาในตัวเมือง แต่กระนั้นสะพานโยงก็ได้รับการบูรณะหลายครั้ง
ทว่าปัจจุบันเปิดให้เฉพาะการเดินข้ามฟากเท่านั้น ไม่อนุญาตให้รถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซค์ผ่าน
เนื่องจากจะทำให้ตัวสะพานทรุด
สำหรับนักท่องเที่ยว สะพานโยงคือไฮไลต์ที่ต้องหยุดถ่ายภาพ
บางคนก็มารอใส่บาตรบนสะพาน เพราะจะมีพระสงฆ์ออกบิณฑบาตโดยเดินผ่านบนสะพานโยงทุกเช้า
สำหรับคนเมืองงาว กว่า 88 ปีแล้วที่สะพานแห่งนี้ยืนหยัดอยู่อย่างคงทน
นี่คือประวัติศาสตร์ของคนยุคหนึ่ง ยุคที่ทันเห็นซุงไม้สักขนาดมหึมาล่องผ่านหน้าไป ยุคแห่งความแร้นแค้นช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 จึงอาจเรียกว่า
สะพานแห่งนี้เป็นสะพานคู่บ้านคู่เมืองโดยแท้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 992 ประจำวันที่ 22 - 28 สิงหาคม 2557)