ปลัดเทศบาลเปิดใจ
หากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลวินัยร้ายแรงคงไม่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งปลัด ฯ
เผยการทำงานตามระเบียบข้าราชการ อาจไม่ถูกใจในบางฝ่าย ยืนยันรับราชการมา 30 ปี
ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียวอนประชาชนเข้าใจ
หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวนายกเทศมนตรีเมืองเขลางค์ยื่นหนังสือถึง
คสช.ขอให้พิจารณาย้ายปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นครออกไปปฏิบัติหน้าที่อื่นในระหว่างถูกดำเนินคดีและถูกสอบสวนทางวินัย
จนกว่าการดำเนินคดีจะสิ้นสุด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.57 ที่ผ่านมา นายอมร ทองประดิษฐ์
ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร ได้ออกมาเปิดเผยกับลานนาโพสต์ถึงเรื่องราวในหลายประเด็นที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถูก
ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
การใช้น้ำมันในทางทุจริต และการประมาณเลินเล่อร้ายแรง
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลเมืองนครนายก ตามที่นายกเทศมนตรีได้ยื่นเรื่องถึง
คสช.ดังกล่าว
นายอมร
ทองประดิษฐ์ ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร
เปิดเผยว่า
กรณีที่ถูกร้องเรียนเรื่องที่พนักงานของเทศบาลเข้าไปทำงานในบ้านของตน
และนำรถดับเพลิงไปรดน้ำต้นไม้หรือเติมถังน้ำในบ้านพักนั้น ในช่วงที่เกิดเหตุตนก็ไม่ได้อยู่บ้านเพราะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศกับนายกเทศมนตรี ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นร้องไปยังจังหวัด
เทศบาลเมืองเขลางค์ ป.ป.ช. และแจ้งความที่
สภ.เมืองลำปาง เมื่อวันที่ 24 ส.ค.54
ต่อมานายไพฑูรย์ โพธิ์ทอง นายกเทศมนตรีเมืองเขลางค์นคร
ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว และได้มีการออกหนังสือบันทึกว่ากล่าวตักเตือน
วันที่ 1 ธ.ค.54 ลงนามโดยนาย
ไพฑูรย์
โพธิ์ทอง นายกเทศมนตรี
โดยบอกว่าการกระทำดังกล่าวปลัดเทศบาลในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่ได้ห้ามปราม
หรือขจัดเหตุที่อาจก่อให้เกิดการกระทำผิดวินัยในเรื่องดังกล่าว
เข้าข่ายการผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ฐานไม่เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย
ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย
โดยการเอาใจใส่ สังเกตการณ์ และขจัดเหตุที่อาจก่อให้เกิดการกระทำผิดวินัย
ในเรื่องอันอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการป้องกันได้
พิจารณาแล้วนายอมร ทองประดิษฐ์ มีภารกิจในความรับผิดชอบในปริมาณมาก สร้างคุณประโยชน์ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาเป็นเวลายาวนาน
การละเลยหน้าที่ดังกล่าวไม่ได้ปรากฏว่าเกิดความเสียหายใดๆต่อทางราชการ
จึงพิจารณาให้งดโทษ โดยให้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร
อย่าให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีกในคราวต่อไป
แต่ปรากฎว่าทางจังหวัดมีการสอบสวนอีกก็เป็นเรื่องเดียวกัน
ส่งกลับมายังเทศบาลเมืองเขลางค์นคร ทางเทศบาลก็มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาอีก
และแจ้งว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรง เสนอไปยัง ก.ท.จ.ให้มีการไล่ออก ซึ่งมติ
ก.ท.จ.ลำปาง ก็ออกมาว่า จากเอกสารหลักฐานไม่ปรากฎว่านายอมร ทองประดิษฐ์ ปลัดเทศบาล
เป็นผู้สั่งการโดยตรงและไม่มีเอกสารหลักฐานลงมือชื่อรับแจกจ่ายน้ำ
รวมทั้งอนุมัติจัดส่งน้ำในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นหน้าที่ของปลัดแต่เพียงผู้เดียว
หัวหน้างานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็มีอำนาจอนุมัติได้
ดังนั้นการเอาน้ำไปเติมในถังและรดน้ำต้นไม้ จึงน่าเชื่อได้ว่า เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
อาจเข้าใจว่าสามารถทำได้โดยถูกต้อง เพราะเป็นบ้านของผู้บังคับบัญชา
พฤติการณ์จึงถือว่าเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง กรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนสั่งฟ้องนายอมร
ทองประดิษฐ์ ต่อพนักงานอัยการนั้น หากผลคดีอาญาเป็นที่สุดให้ลงโทษ
จึงพิจารณาลงโทษวินัยให้เหมาะสมโทษทางอาญาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ตามหลักความจริงแล้วคิดว่าเรื่องนี้เทศบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปแล้วไม่น่าจะมีการสอบสวนซ้ำอีก ยกตัวอย่างกรณีของนายกเทศมนตรีนครลำปาง
ที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องเพราะเป็นเรื่องที่มีการร้องซ้ำและได้ตัดสินไปแล้ว ส่วนกรณีที่บอกว่า
ป.ป.ช.ชี้มูลผิดวินัยร้ายแรงนั้น หากโดนวินัยร้ายแรงจริง
ขณะนี้ตนก็คงไม่ได้อยู่ในตำแหน่งปลัดเทศบาลแล้ว แต่ทาง
ป.ป.ช.ได้มีความเห็นให้แจ้งเรื่องมาให้ สภ.เมืองลำปาง สอบสวนเพิ่มเติมตามกฎหมาย
ซึ่งคดีอยู่ระหว่างดำเนินการ การที่บอกว่า
ป.ป.ช.ฟันผิดวินัยร้ายแรงนั้นไม่เป็นความจริง
ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร
กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องการใช้น้ำมันไปในทางทุจริตตนก็ต่อสู้ตามหลักฐานความเป็นจริง
ซึ่งมีการนำเอกสารอันเป็นเท็จมาใช้กล่าวหาตน และยังไปกล่าวหาคนขับรถว่าไม่ทำเอกสารการใช้น้ำมันตามระเบียบราชการ
แต่กลับมีเอกสารมากล่าวหาตน คนขับก็บอกว่ามีการให้ทำเอกสารย้อนหลัง
ซึ่งเอกสารไม่ตรงกับความเป็นจริง ในช่วงนั้นตนได้ถูกพักงานอยู่
แต่กลับมีเอกสารออกมาว่าเดินทางไปแจกเบี้ยยังชีพในหลายหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวหาว่าใช้น้ำมันสูงเกินจริงในช่วงที่กลับมาทำงาน
เรื่องนี้ได้มีการสอบสวนปั๊มน้ำมันแล้วและทางปั๊มยืนยันว่ามีการเติมตามบิลที่สั่งเติม
แต่ก็มีการนำรถที่ตนใช้งานไปเปรียบเทียบกับรถคันอื่น ซึ่งไม่สามารถเทียบกันได้เนื่องจากภารกิจหน้าที่ของปลัดเทศบาลมีมากกว่าคนอื่น
ต้องเดินทางทำงานในพื้นที่ 63 ชุมชนอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งตนได้ใช้น้ำมันตามประกาศที่เทศบาลกำหนดไว้
ตั้งแต่ใช้มาไม่เคยมีการใช้เกินแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องเทศบาลเมืองนครนายก เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการ
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนั้นก็ได้ปฏิบัติตามหนังสือสั่งการทุกประการ และได้ย้ายมาลำปางเมื่อ 20
เม.ย.49
เรื่องนี้ก็ต้องมีคนมารับช่วงต่อ จากนั้นต้องมีการตรวจสอบว่าทำโครงการแล้วมีเงินเหลือเท่าไร
มีอะไรเหลือบ้าง เพื่อทำบันทึกคืนให้กับราชการ เมื่อ สตง.ท้วงติงมาทาง จ.นครนายก ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ซึ่งผลสรุปออกมาว่า เทศบาลสมประโยชน์แล้วไม่มีใครต้องรับผิด
แต่ให้ดำเนินการทางวินัยตามความเหมาะสมควรแก่กรณี แต่กรมบัญชีกลางเห็นตรงกับ
สตง. ให้มีการเรียกเงินคืน โดยทางเทศบาลเมืองนครนายกได้แจ้งมาที่ตน ให้รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้กับเทศบาล
จำนวน 375,000 บาท
แต่ตนไม่เห็นด้วยเพราะการเรียกค่าเสียหายครั้งนี้ เรียกมาแบบลูกหนี้ร่วม
คือ เรียกเท่ากับคนอื่นๆที่ยังปฏิบัติงานอยู่ ซึ่งตนได้ย้ายมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว จึงได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่
ในเรื่องของสัดส่วนการละเมิด ซึ่งตาม
พ.ร.บ.ละเมิดตามกฎหมายต้องดูว่าใครทำผิดมากต้องชดใช้มาก
ใครทำผิดน้อยก็ชดใช้น้อยตามลำดับ ตอนนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี และยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้กระทำโดยการประมาทเลินเล่อ
เพราะทำตามระเบียบของทางราชการที่กำหนดไว้ทั้งหมด
“ตนเป็นข้าราชการระดับ 9 รับราชการมา
30 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย
เพราะยึดระเบียบกฎหมายมาโดยตลอด เมื่อเป็นฝ่ายปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามระเบียบในส่วนที่เราเป็นปลัดเทศบาล
แต่อาจจะทำให้ฝ่ายการเมืองไม่ถูกใจก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม
อยากให้ประชาชนเข้าใจตนถูกต้องจึงออกมาเปิดเผยในครั้งนี้
และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป” นายอมร
กล่าว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 994 ประจำวันที่5 - 11 กันยายน 2557)