ไม่น่าแปลกใจที่ เด็กและเยาวชนวันนี้
ล้วนถูกกักขังอยู่ในโลกเสมือนอันนำไปสู่ความเลวร้ายนานา
โดยเฉพาะการเป็นประตูไปสู่การมีสัมพันธ์ทางเพศก่อนวัยอันควร
เราจะมีผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้อย่างไร หากเด็กวันนี้ยังเสพติดสมาร์ทโฟน และเห็นเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า คำกล่าวสั้นๆแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเด็กน้อยตาดำๆที่เป็นผ้าขาว
พร้อมที่จะซึมซับความรู้ พัฒนาความสามารถ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สร้างครอบครัวที่แข็งแรง
แต่เพราะอะไร ดูเหมือนว่ายิ่งบ้านเรามีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
การใช้ชีวิตดูจะสะดวกสบายมากกว่าสมัยแร็ค ลานนา ยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก
แต่ปัญหาการของเด็กและเยาวชนดูจะน่าหนักใจขึ้นทุกวัน
เมื่อปีที่ผ่านมามีข่าวที่น่าวิตก เพราะมีรายงานสถิติว่า
วัยรุ่นหญิงไทยตั้งครรภ์ไม่พร้อม เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย เป็นอันดับ 2
ของโลก รองจากประเทศแอฟริกา และในปี 2553 เยาวชนไทยอายุต่ำกว่า
20 ปี คลอด บุตร ร้อยละ 13.76 สูงกว่ามาตรฐานของ
WHO ที่กำหนดไว้ ร้อยละ 10 ปี 2554
วัยรุ่นหญิงอายุ 10 – 19 ปีคลอดบุตรมากถึง 131,400
คน คิดเป็นร้อยละ 17
ของจำนวนหญิงที่คลอดบุตรทั้งประเทศ
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นสถิตินี้ คงร้อง
ไอ่หยา...เป็นแน่ พร้อมทั้งคงนึกเป็นห่วงลูกเล็กเด็กแดงข้างกายเรา
ทุกวันนี้ค่านิยม แนวความคิดของเด็กเปลี่ยนไป
ค่านิยมรักนวลสงวนตัว กลายเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ เด็กจำนวนไม่น้อยมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น
ค่านิยมกลายพันธุ์เป็น มีเพศสัมพันธ์ได้แต่ต้องไม่ตั้งท้อง รวมไปถึงการมีค่านิยมเรื่องความรักแบบผิดๆว่า
รักแล้วต้องมีเซ็กซ์ ถ้าไม่ยอมแปลว่าไม่รัก ดังนั้น ณ เวลาที่ความรักบังตา
ความใคร่บังใจ การเสียตัวจนเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์จึงเกิดขึ้น
ยิ่งในวัยรุ่นที่ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนพุ่งพล่าน ไร้ความเครียดจากสังคม เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เยาวชนตั้งท้องได้ง่าย
นี่ยังไม่นับความเสี่ยงจากการติดโรคอีกด้วย
เด็กๆดูจะเจริญเติบโตดูเป็นสาวเกินวัย
แต่งหน้าทาปาก กรีดอายไลเนอร์คมกริ๊บ เรียกแฟนว่าผัว ได้ยินทีไรก็อกอีแป้นจะแตก ยิ่งในระดับมัธยมปลาย
มหาวิทยาลัย ที่มีเหตุให้ต้องจากอ้อมอกพ่อแม่มาอยู่หอ หลายคนก็เลือกที่จะอยู่แบบคู่ผัวตัวเมียเพราะรักกัน
พ่อแม่ก็รับรู้และยินดีเพราะประหยัดเงินค่ากินค่าอยู่การสปาร์คกันจนตั้งครรภ์จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
เพราะผู้ใหญ่ก็ดูจะรู้เห็นเป็นใจไม่ใช่น้อย
อีกหนึ่งสถิติที่มาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยี
ทำให้โทรศัพท์มือถือธรรมดา กลายเป็นมือถือแบบสมาร์ทโฟนที่ย่อโลกทั้งใบมาอยู่ในมือเด็ก
ในราคาไม่แพง จนปี 2555 มีการสำรวจพฤติกรรมการเสพสื่อ
น่าตกใจที่เด็กที่ใช้ไปกับสูงถึง
8 -9 ชั่วโมงใน 1 วัน ซึ่งอาจเทียบได้ว่าเวลาครึ่งชีวิตยามตื่นของเด็กไทย
โดยในระยะยาวอาจส่งผลต่อเวลาในการพักผ่อนที่ลดลง และส่งผลกระทบต่อเวลาในการเรียนรู้ของเด็กให้ต้องด้อยประสิทธิภาพลงไป
โดยใน 8 ชั่วโมงนี้ เด็กใช้เวลาคุยโทรศัพท์
หรือแชทผ่านโปรแกรม Line WhatsApp BB messenger Facebook ราววันละ 3 ชั่วโมง
แต่ที่น่าตกใจ คือ
จากรายงาน สรุปสภาวการณ์เด็กและเยาวชน 15 จังหวัด ภาคเหนือ
ปี 2556 พบตัวเลขที่น่าตกใจ ว่า เด็กและเยาวชนจังหวัดลำปางใช้สื่ออินเตอร์เนตและสื่อสังคมออนไลน์
เฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง !!!
การเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย
จะเป็นก้าวเล็กๆที่เดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศในภาวะวิกฤตของวิกฤต ให้หลุดพ้นจากวังวนเดิม
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ที่เราต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่สำคัญ นั่นคือสถาบันครอบครัวที่จะควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนในการใช้สื่ออย่างเหมาะสม
สนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสทํากิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อลดโอกาสและเวลาในการเข้าถึงสื่อ
ไม่ใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ลับตา ทุกวันนี้เด็กแทบจะไม่ง้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เพราะมีคอมพิวเตอร์มือถืออยู่ในมือ
ทั้งเข้าถึงเกม เข้าถึงแชท ให้เข้าใจได้ในหน่วยวินาที พรั่งพร้อมด้วยค่ายโทรศัพท์มือถือต่างๆที่พร้อมใจออกโปรโมชั่นส่งเสริมการแชท
ชีวิตของพวกเขาฝากไว้กับการแชท
แชทลวงโลก และลวงพวกเขาอยู่ในโลกแห่งมายา