กระบวนการปฏิรูปประเทศ
เดินหน้าแล้วตามโรดแมป ของ กปปส.ที่ต้องการให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ฉะนั้นตัวแทน
สปช.จำนวนไม่น้อย ที่เคยขึ้นเวที “สู้ไม่ถอย” จึงถูกเลือกเข้าไปสานต่อภารกิจพระสุเทพกันทั่วหน้า
การปฏิรูปสื่อก็เริ่มเคลื่อนไป ด้วยตัวแทนสายสื่อมวลชนที่เกือบทั้งหมดไม่เคยมีบทบาทหรือแสดงให้เห็นแนวคิดในการปฏิรูปสื่อเลย
นี่เป็นความวังเวงในเป้าหมายการปฏิรูป เช่นเดียวกับตัวแทนจังหวัด ทั้งที่นี่และที่อื่นๆ
ที่เห็นหน้า สอบประวัติแล้ว ยังไม่พบว่า มีความคิดอ่านในเรื่องปฏิรูปมาก่อนหน้านี้อย่างไร
การปฏิรูปสื่อนั้นสำคัญยิ่ง
เพราะสื่อจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปทุกด้านไปสู่เป้าหมาย การปฏิรูปสื่อไม่ใช่การอธิบายว่า
การสื่อสารคืออะไร ผู้ส่งสารคือใคร ข่าวสารคืออะไร เหมือนกับเนื้อหาที่
คสช.รวบรวมไว้ เพื่อให้ตัวเองเข้าใจ ไม่ใช่คนอื่นเข้าใจ วันนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวนสิ่งที่
คสช.เตรียมการไว้ ด้วยการตัดต่อพันธุกรรม ตัดแปะ และคัดลอก โดยในสมองว่างเปล่า
เรียกง่ายๆว่า ชำแหละ
ความหมายจริงๆ ก็คือชำแหละ
กรอบความเห็นร่วมปฏิรูปประเทศไทย ด้านสื่อสารมวลชน ซึ่งคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
จัดทำเป็นรูปเล่มให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ใช้เป็นสารตั้งต้น
ในการศึกษา ต่อยอด เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปให้สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน
การชำแหละ หรือพูดให้ดูเป็นวิชาการ
ว่าเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาข้อเสนอแนวทางปฏิรูปสื่อของ คสช.จะทำในสองฐานะ
หนึ่งคือในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งที่มีส่วนได้เสียกับการปฏิรูปครั้งนี้ สองในฐานะเจ้าของวรรณกรรม ที่คสช.ถือวิสาสะ
นำไปบรรจุไว้ในกรอบความเห็นนี้ โดยไม่ปรับเปลี่ยนแม้สักถ้อยคำหนึ่ง
คงมีประเด็นที่ต้องถกแถลงกันชนิดเข้มข้นอีกหลายวาระ
ในเรื่อง “สื่อแท้” และ “สื่อเทียม” และความพยายามที่จะเสนอแนวคิด การตีตราผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แต่ในคำนำของคณะทำงานที่อธิบายว่า
เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ รายงานการวิจัย เอกสารและบทความที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทังโดยสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมกลุ่มย่อย การเสวนา
และรับข้อมูลเสนอผ่านทางโทรศัพท์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ จดหมาย
และข้อคิดเห็นจากองค์กร หน่วยงานหรือบุคคลที่สนใจ
จากนั้นนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์เพื่อให้ได้กรอบความเห็นร่วม
ผมเรียกมันอย่างตรงประเด็นได้เพียงว่า
เป็นการ “ตัดต่อ” หาได้เป็นการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างใดไม่
ร้ายกว่านั้น มีหลายวรรคตอน
ที่เป็นการถ่ายทอดการบันทึกเสียงคำต่อคำ โดยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น
“ผู้ที่จะเข้ามาเป็น
หรือมาทำหน้าที่ในกระบวนการสื่อสารมวลชนนั้น
พูดถึงคนที่ได้ร่ำเรียนมาเป็นอันดับแรก ในการเลือกข้างนั้น
ในความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน
และสิ่งที่เขาถือว่าเป็นบทบาทหน้าที่ของสื่อสารมวลชนนั้น
เป็นสิ่งที่ต้องทำอันดับแรกนั้น คือสื่อสารมวลชนนั้นๆ ตามทฤษฎีจะต้องมีจริยธรรม
มีจรรยาบรรณ
ฉะนั้นถ้ามีตรงนี้หรือมีความมั่นคงตรงนี้แล้วจะทำให้การเลือกข้างอาจจะเกิดน้อยลง ในสิ่งตรงนี้
ในจริยธรรม จรรยาบรรณนี้ เหมือนกับการควบคุมสื่อสารมวลชนด้วย เพื่อประโยชน์ของใคร
เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง ผู้ชม ผู้อ่าน..”
(กรอบความเห็นร่วมปฏิรูปประเทศไทย
ด้านสื่อสารมวลชน ว่าด้วยคุณธรรมและจริยธรรมสื่อ หน้า 40 วรรค
2)
การสื่อสารด้วยภาษาเขียนที่วกวน
วรรคนี้ สรุปรวบรัดได้ง่ายๆสั้นว่า ผู้ที่จะเข้ามาสู่วิชาชีพสื่อมวลชน จะต้องศึกษา
เรียนรู้ และมีความรับผิดชอบด้านจริยธรรม
ปัญหาของคนเรียบเรียงหรือคนเขียนกรอบความเห็นร่วมฉบับนี้
คือไม่มีทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาเขียน ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับลูกศิษย์ของผมหลายคน
เวลาที่ต้องตอบคำถามแบบบรรยาย แต่สิ่งที่อาจแตกต่างไปก็คือ ผู้รวบรวม
หรือสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมแม่งานครั้งนี้ ไม่มีความรู้
ความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานการทำงานของสื่อมวลชนอย่างแท้จริง
และเมื่อไม่รู้ก็ไม่พยายามที่จะแสวงหาความรู้
ดังนั้น เนื้อหาของกรอบความเห็นร่วมจึงกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง
มีทั้งจริงและเท็จปะปนกันไป และที่สำคัญไม่มีบทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะฉายภาพให้เห็นและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
มีอีกหลายประเด็น ที่เป็นเรื่องของเนื้อหา
รวมทั้งการลอกงานของผมซึ่งเขียนไว้ในตำราบางเล่ม
และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน (หน้า 48 – 50)
ที่อาจจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม
เราจะชำแหละกันจากนี้ตามระยะเวลาและโอกาสที่เหมาะสม
อย่างน้อยก็อาจเป็นคำตอบได้ว่า ถ้าทิ้งกรอบความเห็นร่วมนี้ไป
หรือเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด งานปฏิรูปสื่ออาจจะเดินไปได้ตรงทางมากกว่านี้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1001 ประจำวันที่ 24 - 30 ตุลาคม 2557)