ยังไม่ทันขึ้นเวที
ข้อเสนอปฎิรูปประเทศก็พรั่งพรูออกมามากมาย
มากเสียจนน่าเป็นห่วงว่าที่สุดแล้วรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะใช้เวลาร่าง 4 เดือน กำหนดเสร็จภายในหนึ่งปี จะกลายเป็นรัฐธรรมนูญที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับตามใจฉัน ตามความคิดที่ผันแปรไปตามกาลเวลา เช่น
การเสนอให้ลดจำนวนส.ส.จาก 500 คน ส.ส.เขต + บัญชีรายชื่อ เหลือ 77 คน จังหวัดละหนึ่งคน
หรือกระทั่งข้อเสนอในการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง
หาก
ส.ส.เหลือเพียงจังหวัดละหนึ่งคน โคราชใหญ่เท่ากับสองจังหวัดรวมกัน ลำปางกว้าง 7 ล้านไร่ ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของภาคเหนือ สมุทรสงคราม มีสองอำเภอเล็กๆ ก็จะมี ส.ส.เท่ากัน ที่เป็นเช่นนี้
ก็เพราะต้องการลดทอนอำนาจ ส.ส.ลง เพราะระบบแบ่งเขต ส.ส.ตามพื้นที่
ทำให้พรรคการเมืองสามารถยึดครองพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ ส.ส.คนเดียว หนึ่งจังหวัด
จึงเป็นความฝันที่จะให้ประชาชนคัดคนที่ดีที่สุด ซึ่งในทางตรงกันข้าม
หากเขตเลือกตั้งใหญ่ ทุนใหญ่เท่านั้นที่จะมีโอกาส
ชัยอนันต์
สมุทวณิช ราชบัณฑิตและ อดีตอาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านการเมืองผู้ซึ่งแนบแน่นกับศาสดาบ้านพระอาทิตย์
เสนอความเห็นว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ต้องการคนที่มีคุณภาพ
แต่ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันใช้กับคนที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดเป็นปัญหา
ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องทำให้คนมีคุณภาพ ไม่ถูกหลอกง่าย
ไม่เห็นแก่เงินมากกว่าสิทธิ ไม่เชื่อข่าวลือง่ายและสนับสนุนคนอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เขาได้เสนอการแก้ปัญหาทางการเมือง
ว่าอยู่ที่การวางกรอบอำนาจให้การเมืองส่วนบนมากกว่าส่วนล่าง
จึงจำเป็นต้องอุดช่องว่างของปัญหาการเมืองด้วยการลดอำนาจของ ส.ส.โดยลดจำนวน
ส.ส.ให้เหลือเพียง 77 คน มาจากการเลือกตั้งภายในจังหวัดๆละ 1 คน
ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เนื่องจากเห็นว่าการทำหน้าที่ของ
ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางเทคนิค เรื่องวิชาการ จึงไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก
และให้เน้นการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น
เพื่อให้ปัญหาในท้องถิ่นมีคนในพื้นที่ดูแลได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
โดยรูปแบบนี้ ส.ส.ก็ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค
และจะช่วยลดปัญหาการคอรัปชั่นลงอีกด้วย เพราะหากมีจำนวน ส.ส.เยอะ
และมีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น ก็จะควบคุมได้ยาก แต่หากเน้นงานท้องถิ่นมากขึ้น
เมื่อมีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น ประชาชนในท้องถิ่นจะเห็นได้ง่าย
ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสนอให้
ประชาชนมีบทบาทแทน ส.ส.ในการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง
ซึ่งเป็นข้อเสนอที่คงเชิญชวนความเห็นแย้งไม่น้อย
แต่การเลือกนายกฯก็จะเป็นประเด็นที่ทำให้อำนาจประชาชนมากขึ้น ถ้าตอบคำถามได้
การเลือกนายกฯโดยประชาชน ก็อาจเป็นเกราะป้องกันไม่ให้มีการยึดอำนาจโดยทหาร
หรือแม้กระทั่งการยึดอำนาจรัฐโดยพรรคการเมือง ผ่านรูปแบบเผด็จการรัฐสภา
ที่ทำให้เราเจ็บปวดกันมาแล้ว
“..อำนาจอธิปไตยของปวงชน
เป็นเรื่องทฤษฎีเสียมากกว่า ประชาชนไม่เคยได้รับอำนาจตัดสินใจสุดท้าย
ทั้งนี้เป็นความผิดพลาดของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ที่ไม่สามารถทำให้กระบวนการทางการเมืองดำเนินจากล่างไปสู่บนตามหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้
และแม้เดิมทีชนชั้นปกครองของไทยมีเจตนาที่จะมอบอำนาจให้กับประชาชนก็ตาม
แต่นานวันเข้าชนชั้นปกครองซึ่งประกอบด้วยข้าราชการเป็นส่วนใหญ่ก็ห่างไกลจากประชาชนมากขึ้นทุกที”
พงศ์เพ็ญ
ศกุนตาภัย แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ให้เหตุผลในการที่เขาเห็นว่า
ประชาชนควรเข้าไปอยู่ใน “วงใน” คือการเข้าไปเลือกผู้นำของเขาด้วยตัวเอง
นี่เป็นแนวทางในการปฎิรูปการเมืองฉบับตามใจฉัน
ที่ต้องการปฎิรูปที่มาของฝ่ายบริหาร
โดยเสนอให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเลือกฝ่ายบริหาร
หรือนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง
ในทางทฤษฎีนี่เป็นการนำแนวคิดการพัฒนาทางการเมืองของนักรัฐศาสตร์อเมริกัน
ฮันติงตัน ที่เสนอว่าการพัฒนาการทางการเมืองเป็นเรื่องของการสร้างความเป็นสถาบันให้กับระบบ
ฟังแล้วก็ยังงุนงงอยู่ว่า
ความเป็นสถาบันและการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เรื่อง ส.ส.77 คน เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง
เป็นคล้ายการฉายภาพอนาคตที่ไม่ยาวนานนักว่าความวุ่นวายไร้เอกภาพในความคิดปฎิรูปประเทศกำลังจะตามมา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1000 ประจำวันที่ 17 - 23 ตุลาคม 2557)