คณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งมีอาจารย์จุมพล รอดคำดี อดีตประธานคณะอนุกรรมการวิชาการ
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เป็นประธาน
ชวนผู้นำองค์กรสื่อ ไปตั้งวงพูดคุยเรื่อง ข้อกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิ
เสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมวลชน เมื่อวันอังคาร (25
พ.ย.)
มีทั้ง
เรื่องเสรีภาพสื่อมวลชน องค์กรกำกับดูแลสื่อ การป้องกันการแทรกแซงจากอำนาจภายนอก
และบทบาทของสื่อในการสร้างสรรค์สังคม
ว่ากันเฉพาะเสรีภาพ
ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 40 และ
50 ที่คนร่างรัฐธรรมนูญเห็นความสำคัญในบทบาทของสื่อมวลชนมากขึ้น
แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เสรีภาพสื่อมวลชน
แต่คำถามคงอยู่ที่ขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน ที่ขาดความรับผิดชอบ
และส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเหตุผลที่นำมาสู่การยึดอำนาจ
และกำลังก่อตัวเป็นสึนามิในวงการสื่อมวลชน เมื่อเริ่มมีเสียงเรียกร้อง
ให้มีกระบวนการในการออกใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เช่นเดียวกับแพทยสภา
สภาทนายความ และสภาวิชาชีพอื่นๆ
พวกเราไม่ได้ปฏิเสธความจริงที่ว่า
มีสื่อมวลชนที่ใช้เสรีภาพโดยปราศจากความรับผิดชอบ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวิธีการอื่น
นอกจากย้อนยุคไปใช้กฎหมายในทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติการพิมพ์ 2484 คือการควบคุมบังคับให้สื่อปฏิบัติตามโดยใช้ใบอนุญาตเป็นเงื่อนไข
เพราะไม่มีประเทศเสรีประชาธิปไตยประเทศใดในโลกนี้
ที่การเป็นสื่อมวลชนต้องมีใบอนุญาต
และหากจะเทียบเคียงกับวิชาชีพอื่นๆก็แตกต่างกัน
เพราะคนที่มาทำอาชีพสื่อมวลชน ไม่ได้จบมาเฉพาะทางด้านสื่อมวลชน หากมีหลายสาขาวิชา
ทั้งกฎหมาย รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และแม้ไม่ได้จบการศึกษาตามระบบ
เช่นนักข่าวในยุคก่อนๆ ก็ยังเข้าสู่วิชาชีพนี้ได้ นอกจากนั้นการกำหนดให้มีใบอนุญาต
ยังเป็นการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็น
อันขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย
ฉะนั้น สิ่งใดเล่าจะเป็นหลักประกัน
สำหรับความรับผิดชอบของสื่อมวลชน
ผมคิดว่า
มีประเด็นที่ควรพิจารณา 2 เรื่อง
คือความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในกิจการสื่อมวลชน
และความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสังคม หรือผู้บริโภคข่าวสาร
เมื่อเราเริ่มแยกแยะได้
ระหว่าง “สื่อระดับผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน” กับ “ผู้ประกอบการสื่อมวลชน” เราก็จะเห็นภาพการใช้เสรีภาพมากขึ้น ผมมีความเชื่อมั่นว่าสื่อระดับปฏิบัติการ
ซึ่งได้แก่นักข่าวภาคสนามที่เป็นต้นทางของข่าวสารนั้น เขาเข้าใจและมีความรับผิดชอบ
เช่นเดียวกับที่พวกเขากำลังรณรงค์เสรีภาพบนความรับผิดชอบขณะนี้ แต่เมื่อข่าวสารมีการจัดการโดยผู้บริหารในกองบรรณาธิการภายใต้นโยบายธุรกิจ หลายครั้งข่าวและภาพที่มุ่งแต่การขาย
ก็ก่อให้เกิดคำถามเรื่องความรับผิดชอบแบบเหมารวม รวมทั้งสื่อการเมือง
สื่อสังคมออนไลน์ สื่อบันเทิง ที่ต้องนิยามกันใหม่ให้ชัดเจน
หรือบางกรณีระดับปฏิบัติการไม่สามารถทำงานอย่างตรงไปตรงมาตามวิชาชีพได้
เพราะถูกจำกัดเสรีภาพโดยนายจ้าง
หรือถูกกลั่นแกล้งไม่ให้ทำหน้าที่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
อย่างน้อยแม้เราจะปฏิเสธกฎหมายที่มีเนื้อหาเผด็จการ
แต่ควรมีกฎหมายที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจ เช่น
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ซึ่งผม คุณมานิจ สุขสมจิตร รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
เพื่อนพ้องในวงการบางคน นักวิชาการ นักกฎหมาย
ได้ช่วยกันยกร่างและผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
เป็นเครื่องมือในการทำให้เสรีภาพมีผลบังคับใช้
หลักการสำคัญของกฎหมายฉบับนี้
คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
และส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการฯ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการ
แต่มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประธานกรรมการ โดยอำนาจ
คือการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพหรือไม่
เรียกบุคคลหรือหน่วยงานของรัฐมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องร้องเรียน
หรือสั่งให้มีการแก้ไข
หรือเยียวยาแก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสังคม
อาจจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้องค์กรผู้บริโภค
ซึ่งผมเสนอแนวคิดในลักษณะเดียวกับ สคบ.ในฝ่ายสื่อ
มีหน้าที่ในการเป็นสื่อกลางรับเรื่องร้องเรียนให้กับองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
เป็นตัวแทนในการฟ้องคดีกรณีสื่อละเมิดกฎหมาย
รวมทั้งมีหน้าที่คล้ายๆมีเดียมอนิเตอร์ ที่จะเฝ้าระวังการทำงานของสื่อ
และสามารถเสนอเรื่องสื่อละเมิดจริยธรรมมายังองค์กรวิชาชีพโดยตรง
เรื่องการกำกับดูแลสื่อเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
ที่จะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับบทบาท กสทช.
บทบาทจากนี้ซึ่งจะต้องไม่เป็นองค์กรซ่อนเงื่อน
คือจัดการให้ กสทช.กลับมาอยู่ในร่องรอยให้สมฐานะการเป็นต้นแบบการปฏิรูปสื่อในสังคมไทย