กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
ในบรรดาวัดพม่าของเมืองลำปางนั้น
แต่ละวัดล้วนเก่าแก่และงดงามมีเอกลักษณ์ วัดศรีรองเมืองก็เป็นวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้วยสถาปัตยกรรมพม่าสมัยราชวงศ์คองบองตอนปลาย
สกุลช่างมัณฑะเลย์ วิหารของวัดได้ชื่อว่าเป็นวิหารไม้สักทองที่สวยที่สุดในเมืองลำปาง
เพียงเดินเข้าประตูมา ก็จะพบกับความใหญ่โตโอ่อ่าของวิหารที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ดึงดูดความสนใจให้ต้องรีบเข้าไปชื่นชม
โดยที่หลายคนไม่เคยรู้ว่า วัดศรีรองเมืองยังมีความง่ายงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
แทรกตัวอยู่ท่ามกลางร่มไม้ทางด้านข้างอย่างเจียมตน นั่นคือเวจกุฎี
หรือส้วมของพระสงฆ์ ซึ่งสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงและมีอายุเก่าแก่มากกว่า 100 ปี
แม้เพียงภายนอกก็สวยงาม ชมเพลินแล้ว ว่ากันตามตรง
มองเผิน ๆ คล้ายกับบ้านพักรีสอร์ตเสียด้วยซ้ำ ด้วยหลังคาแป้นเกล็ดซ้อนชั้น
เหนือส่วนแหลมของปั้นลมมีเสากลึงประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ เชิงชายคาเป็นสังกะสีฉลุลายอ่อนช้อยโดยรอบ
เหนือประตูทางเข้าทำช่องลมโค้ง แต่ปิดทึบ ตรงกลางมีรูปหงส์สีทองอร่ามประดับโดดเด่น
พูดถึงเรื่องส้วม สมัยก่อนยามที่ต้องทำธุระหนัก
หรือเบา มักจะบอกกันว่า “ไปทุ่ง” หรือ “ไปป่า” สะท้อนให้เห็นถึงวิธีขับถ่ายของคนไทยสมัยก่อน
แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ ส้วมพระจึงเป็นของจำเป็น
เพราะชาวบ้านคงอยากให้ท่านมีที่ขับถ่ายมิดชิดเป็นที่เป็นทางมากกว่าคนทั่วไป
เรื่องการขับถ่ายนั้น
ในพระวินัยได้บัญญัติไว้ว่า “...พึงทำศึกษาว่า เราไม่อาพาธ 1. จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ 2. จักไม่ถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะบนของสดเขียว 3. จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ...” ซึ่งก็ชัดเจนเลยว่า ห้ามพระสงฆ์ “ไปทุ่ง” อย่างชาวบ้าน
ในพระวินัยปิฎกได้ระบุลักษณะของเวจกุฎีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ใช้
รวมถึงกำหนดข้อห้ามในการใช้ไว้หลายข้อ ข้อควรปฏิบัติและรายละเอียดในการขับถ่ายต่าง
ๆ เหล่านี้ ได้กลายมาเป็นข้อกำหนดรูปลักษณ์ของเวจกุฎีและเขียง (แผ่นรองรับเท้า) สำหรับขับถ่าย
ทั้งที่พบในศรีลังกาและไทย
ในขุททกวัตถุขันธกะบรรยายเอาไว้ว่า
แต่เดิมพระภิกษุต่างพากันปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้อารามสกปรกและมีกลิ่นเหม็น
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้สงฆ์ปัสสาวะในที่ใดที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ
และอนุญาตให้ใช้หม้อมีฝาปิดรับปัสสาวะ แต่การนั่งปัสสาวะลงในหม้อก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
พระพุทธองค์จึงอนุญาตให้ใช้เขียง หรือแผ่นรองรับเท้า เพื่อถ่ายปัสสาวะ
ส่วนการถ่ายอุจจาระก็ทำนองเดียวกันกับการถ่ายปัสสาวะ
คือแต่เดิมพระภิกษุต่างพากันอุจจาระจนอารามสกปรกและมีกลิ่นเหม็น
พระพุทธองค์จึงอนุญาตให้ทำหลุมสำหรับถ่ายอุจจาระ และเพื่อป้องกันไม่ให้ปากหลุมพัง
จึงทรงอนุญาตให้กรุผนังและปากหลุมด้วยอิฐ หิน ไม้ ซึ่งสิกขาบทข้อนี้น่าจะเป็นที่มาของการกรุหลุมถ่ายอุจจาระด้วยอิฐ
หรือศิลาแลง เช่นที่พบในลังกา สุโขทัย และกำแพงเพชร นอกจากนี้
หลุมอุจจาระบางแห่งอยู่ต่ำจนน้ำท่วมขัง จึงทรงอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง
ตลอดจนก่อยกสูงด้วยอิฐ หิน หรือไม้ เพื่อความสะดวก และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการพลัดตกลงไปในหลุมได้
จึงอนุญาตให้ทำเขียงรองรับเท้าไว้เหนือปากหลุม
ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงมีส้วมใช้เป็นการเฉพาะมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ซึ่งยืนยันได้จากการที่นักโบราณคดีขุดค้นพบชิ้นส่วนส้วมตามเมืองโบราณหลายแห่ง เช่น
สุโขทัยและกำแพงเพชร รวมถึงวัดเก่าแก่ที่สามโคก ปทุมธานี
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1003 ประจำวันที่ 14 - 20 พฤศจิกายน 2557