วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

ซุกจอกพันไร่กิ่มลมยังวิกฤต


 
ทดลองใช้สารชีวภาพกำจัด นักวิชาการชี้ ผลกระทบนิเวศ

“จอกหูหนู” วิกฤตเขื่อนกิ่วลม ไม่สิ้นสุด  ยังแพร่เต็มอ่างเก็บน้ำอีกกว่า 1,000 ไร่  นายอำเภอและชาวแพหาแนวทางทดลองใช้สารชีวภาพกำจัด ขณะที่นักวิชาการแนะไม่ควร เกรงเกิดผลกระทบระบบนิเวศ ขณะเดียวกันยังไม่สามารถหาต้นตอที่มาของการเกิดปัญหาได้

จาก ธ.ค. 2556 จนเข้าสู่ ม.ค. 2558  จอกหูหนูยังคงทำหน้าที่ของมัน ในฐานะ “เครื่องกีดขวางทางน้ำ” อย่างไม่แบ่งแยกว่าเจ้าของเรือ แพ เหล่านั้นจะเป็นของใคร แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่มันรวมตัวกันเป็น “กองทัพจอกหูหนู” เมื่อนั้นใบพัดของเหล่าเรือยนต์อาจหัก จนต้องลอยเคว้งคว้างกลางน้ำก็เป็นได้ และในปัจจุบันจอกหูหนูก็กลายเป็น “กองทัพจอกหูหนู” อีกครั้ง หลังจากการกำจัดครั้งล่าสุดที่ใช้งบประมาณไปกว่า 1 ล้านบาท ที่นายฤทัย พัชรานุรักษ์ ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา กล่าวว่า “ได้กำจัดจนทำให้เรือสามารถเดินได้อีกครั้งแล้ว” เป็นพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ที่ถูกกำจัด

การเริ่มต้นกำจัด กองทัพจอกหูหนูโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลมได้ทำหน้าที่มาอย่างต่อเนื่องนานหลายเดือน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้คลี่คลายได้ จึงได้เกิดการร่วมมือขึ้นในระดับจังหวัด ระหว่างวันที่ 28 ต.ค.- 5 ธ.ค. 57 ภายใต้ชื่อโครงการ เขื่อนสวย น้ำใส คืนความสุขให้ประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลำปาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระชนมายุ 87 พรรษา 5 ธ.ค.โดยทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา รับหน้าที่ตักจอกหูหนูขึ้นมาจากน้ำ ด้วยเครื่องตักวัชพืช แล้วสถานีพัฒนาที่ดิน จ.ลำปาง จึงนำจอกหูหนูกว่า 1,000 ตัน มาสาธิตการทำปุ๋ยหมักที่โรงเรียนเมืองมายวิทยา ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมกับแผนการที่ต้องร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ของทั้ง 4 ตำบล ประกอบด้วย ต.บ้านแลง ต.ทุ่งฝาย ต.บุญนาคพัฒนา และ ต.บ้านสมเด็จ เพื่อประสานงานและกระจายข่าวสารระหว่างประชาชนให้ทราบถึงข้อมูลที่สถานีพัฒนาที่ดินมาเผยแพร่ในแต่ละครั้ง

ล่าสุดวันที่ 6 ม.ค.58ที่ผ่านมา ทีมงานลานนาโพสต์ย้อนกลับไปที่เขื่อนกิ่วลมเพื่อตรวจสอบหลังจากครบรอบ 1 ปี ที่ติดตามจอกหูหนู ยังพบว่าจอกหูหนูยังคงลอยทั่วผืนน้ำ ไม่ได้อยู่ในเขตไม้ไผ่ที่นำมากั้น มีทั้งแบบที่ลอยอยู่กระจัดกระจาย และรวมตัวเป็น “กองทัพจอกหูหนู” ทางทีมงานได้นั่งเรือล่องขึ้นทางเหนือน้ำ เขต ต.บ้านสา ผ่านห้วยฮ่อม  ห้วยปู่เต้า  ห้วยขอนยาง ห้วยป๋อ  และห้วยคิ่ว  พบว่ามีจอกหูหนูกระจายอยู่เกือบทุกห้วย อีกทั้งบริเวณน้ำนิ่งบางแห่ง อาจปรากฏทั้งคราบสีน้ำตาลและกลิ่นเหม็นที่ลอยมาเตะจมูก โดยเฉพาะบริเวณห้วยป๋อที่จอกหูหนูแน่นทุกตารางนิ้วจนดูเหมือนสนามฟุตบอล

ขณะที่สาเหตุของการแพร่พันธุ์อย่างไม่รู้จบยังคงเป็นปริศนา หลายฝ่ายต่างร่วมกันคิดถึงเป้าหมายเพียงอย่างเดียว คือ การกำจัดจอกหูหนูให้หมดสิ้นไป โดยไม่ได้มีการสืบหาว่าต้นตอที่มาของจอกหูหนูเกิดจากอะไร เมื่อสอบถาม นายเสรี นาละออง ผู้ใหญ่บ้าน ม. 5 ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ว่าทราบหรือไม่ว่าจอกหูหนูในเขื่อนกิ่วลมเกิดขึ้นได้อย่างไร   นายเสรี กล่าวว่า คิดว่าน่าจะแบ่ง 2 กรณีด้วยกัน “สมัยก่อนช่วงน้ำท่วม ผมเคยเห็นว่ามันมีอยู่ในกระชังเลี้ยงปลาของชาวบ้าน แต่พอน้ำท่วมปี พ.ศ.2554 ก็เริ่มพบในเขื่อนกิ่วลม จนเพิ่งมาแพร่กระจายในช่วงหลัง ส่วนสาเหตุอีกข้อ มาจากจำนวนหอยเชอร์รี่ในอ่างเก็บน้ำกิ่วลมลดลง เพราะนกปากห่างจับหอยเชอร์รี่กินเป็นอาหาร ทำให้ระบบห่วงโซ่อาหารเสียสมดุล เนื่องจากหอยเชอร์รี่กินจอกหูหนูเป็นอาหาร”

เช่นเดียวกันกับนายสันติ นฤมิตร นายอำเภอแจ้ห่ม จ.ลำปาง ที่ได้กล่าวว่า ไม่ทราบเช่นกันว่าจอกหูหนูเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ขณะนี้ก็ยังพบว่ามีการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเต็มผืนน้ำ ซึ่งวิธีการใช้เรือตักวัชพืชน้ำไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันกับการแพร่กระจายของจอกหูหนู จึงได้ช่วยกันหาแนวทางกำจัดวิธีอื่นที่น่าจะได้ผลคือ การใช้สารชีวภาพ เบื้องต้นจะนำสารดังกล่าวมาทดลองกับจอกหูหนูในวันที่ 9 ม.ค. 2558 ว่าจะได้ผลมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าสารชีวภาพสามารถกำจัดจอกหูหนูได้จริง จะเสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและประสานของบประมาณจาก บ. ปูนซิเมนต์ไทยลำปาง โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งหมด 2 แสนบาท 

ว่าที่ร้อยตรีดุจเดี่ยว วงศ์ภักดิ์ เกษตรอำเภอแจ้ห่ม จ.ลำปาง  กล่าวว่า “ทางอำเภอจะนำวิธีการแก้ปัญหาวัชพืชน้ำ โดยนำตัวอย่างมาจากอ่างเก็บน้ำแม่ตีบ จ.ลำพูน โดยใช้สารชีวภาพที่ซื้อจากจ.น่าน ซึ่งอาจฉีดสารชีวภาพลงไปในจอกหูหนูจำนวนมาก คล้ายกับการทำให้ดินเค็มโดยการใส่ปุ๋ยที่มีธาตอาหารหลักอย่าง ไนโตรเจน โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส (N-P-K) มาก จนตายและฝ่อลงไปเอง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาว่าการใช้สารชีวภาพจะมีผลกระทบกับระบบนิเวศหรือไม่ มากน้อยเพียงใด”
ด้าน ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม และอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กล่าวถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของจอกหูหนูที่เขื่อนกิ่วลม  กล่าวว่า  สาเหตุของการเกิดจอกหูหนูอาจสันนิษฐานได้ว่า มาจากทั้งการพัดพาของสายน้ำแล้วพัดพาจอกหูหนูจากที่อื่นมายังเขื่อนกิ่วลม อีกทั้งในเขื่อนกิ่วลมอาจมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องนำตัวอย่างน้ำที่ในเขื่อนมาตรวจสอบหาค่าความผิดปกติเพื่อหาสาเหตุ

 “หากจอกหูหนูไม่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่มาก่อน แล้วเกิดการแพร่ระบาดขึ้น ในทางวิชาการถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติและควรพยายามหาสาเหตุให้พบ เพราะใน จ.ลำปางมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่สามารถหาต้นตอของปัญหานี้ได้ เนื่องจากการตักจอกออกเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายทางเท่านั้นและไม่ทันต่อการขยายพันธุ์ของจอกหูหนูที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว” ดร.สุรพลกล่าว และว่าอย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ทั้งสารเคมีและสารชีวภาพในการกำจัดจอกหูหนู เพราะสุดท้ายแล้ว สารเหล่านี้จะกลายเป็นสารตกค้างในสิ่งมีชีวิต อย่างเช่นปลา ที่เป็นอาหารของมนุษย์จนสุดท้ายแล้วสารเหล่านั้นก็จะเข้ามาสะสมภายในตับของคน

อีก ทั้ง ดร.สุรพลยังเสนอแนวทางในการแก้ปัญหา “สนามฟุตบอลจอกหูหนู” ในเขื่อนกิ่วลมว่ากล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญในการกำจัดจอกหูหนู คือ ทุกหน่วยงานของภาครัฐ ไม่เฉพาะสำนักงานเกษตรจังหวัดลำปาง กับชลประทานเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบ ทุกคนต้องหันมาจับมือร่วมกัน โดยการสร้างแรงจูงใจให้กับคนในชุมชน โดยอาจดูตัวอย่างที่จ.พะเยาโมเดลซึ่งใช้วิธีการกำจัดผักตบชวา โดยที่ภาครัฐรับซื้อผักตบชวาจากชาวบ้านแล้วเปลี่ยนผักตบชวาให้กลายเป็นปุ๋ย อินทรีย์” นอกจากนี้ยังอาจนำจอกหูหนูมาเป็นอาหารให้ไส้เดือนเพื่อผลิตเป็นปุ๋ยไส้เดือน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการผลิตสั้นกว่าปุ๋ยหมักอย่างมาก อีกทั้งยังนำไส้เดือนมาขายเป็นเหยื่อล่อปลาแก่บุคคลทั่วไปได้อีกด้วย

แม้ แต่นายพิทโยธร ไวทยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินลำปาง ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการกำจัดจอกหูหนูอีกเช่นเดียวกันว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ควรใช้สารเคมีและสารชีวภาพกำจัดจอกหูหนูในเขื่อนกิ่วลม เพราะหากจอกหูหนูเหล่านี้สลายตัวก็จะกลายเป็นตะกอนใต้น้ำ และสุดท้ายก็จะกลายเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดของจอกหู หนูอีก”

 “อย่างน้อยปุ๋ยจากจอกหูหนูก็เหมาะสำหรับการปรับดินที่เสียหายจากการใช้สารเคมี สามารถใช้บำรุงพืชจำพวกไม้ยืนต้นได้ แต่ไม่เหมาะสมสำหรับการหว่านบำรุงลงนาข้าว เพราะต้องใช้ปริมาณมาก” ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินลำปางกล่าวถึงแนวทางการนำจอกหูหนูมาใช้ประโยชน์ว่า คงต้องรอให้จอกหูหนูที่ทางสถานีพัฒนาที่ดินสาธิตวิธีการทำปุ๋ยที่โรงเรียนเมืองมาย ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยแล้วส่งไปตรวจสอบเพื่อหาธาตุอาหารที่พืชต้องการเสียก่อน แต่หากมีชาวบ้านคนไหนสนใจ สามารถรวมตัวกันแล้วให้หน่วยงานสอนได้” ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินลำปาง กล่าว

ขณะนี้ทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา จำเป็นต้องหยุดกำจัดจอกหูหนูชั่วคราว โดยนายฤทัย พัชรานุรักษ์ ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลมกิ่วคอหมา กล่าวว่า เนื่องจากอยู่ในระหว่างการของบประมาณสำหรับการกำจัดในครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้งบประมาณอีกครั้ง จำนวน 2 ล้านบาท ในเดือน มี.ค.-เม.ย. 2558 แล้วจึงเริ่มการกำจัดจอกหูหนูได้อีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าทางลานนาโพสต์เสนอข่าวเรื่องการแพร่ระบาดของจอกหูหนูตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2556 แต่หลายหน่วยงานกลับไม่ตื่นตัวในการแก้ปัญหาในระยะแรก จนกระทั่งจอกหูหนูลุกลามกลายเป็น “สนามฟุตบอลลอยน้ำ” ส่งผลกระทบต่อทั้งชาวบ้านและสัตว์น้ำ ทางภาครัฐที่ก็ยังคงต้องรอคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเริ่มปฏิบัติงานได้ ต่างจากจอกหูหนูที่ไม่เคยรอความเหมาะสมหรือคำขออนุญาตจากใครในการขยายพันธุ์

หากต้องรอการปฏิบัติงานอย่างหน่วยงานราชการด้วยระยะเวลา 1 ปีกว่า สำหรับความพยายามในการแก้ปัญหาที่ไม่มีแม้แต่หน่วยงานใดมองหาสาเหตุของการเกิดการแพร่ระบาดของจอกหูหนูอย่างจริงจัง เราอาจไม่มีโอกาสมองเห็นแม้แต่ผิวน้ำของเขื่อนกิ่วลมอีกครั้ง

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1011 ประจำวันที่ 9 - 15  มกราคม 2558)   


Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์