ปฏิกริยาหลังจาก
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเสนอข่าว และหัวข่าว คดีข่มขืน กระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 3 ขวบ ด้วยถ้อยคำภาษาคล้ายโบยตีซ้ำผู้ประสบเคราะห์กรรม
หนักหน่วง รุนแรง และกว้างขวางยิ่ง
จากลำปาง
ไปยังแวดวงสถาบันนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคระดับประเทศ
จนกระทั่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
องค์กรกำกับ ควบคุมจริยธรรมสื่อ และที่สุดย้อนเป็นบูมเมอแรงมาที่
สมาคมผู้สื่อข่าวจังหวัดลำปาง ที่คนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นสังกัดอยู่
คำถามสำคัญในระบบการแข่งขันแบบเสรี
ก็คือ นี่เป็นสิ่งที่ผิดด้วยหรือ สำหรับหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในตลาดมายาวนาน
ได้รับการตอบรับจากคนอ่านท่วมท้น และพวกเขาก็เลือกแนวทางในการเสนอข่าวเช่นนี้
เพราะพิสูจน์แล้วว่า ขายได้ และเขาอยู่ได้
แต่กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้
ก็ต้องตอบคำถามในฐานะ ที่ทำมาหากินอยู่บนพื้นที่สาธารณะเช่นกันว่า การใช้เสรีภาพที่กระทบต่อบุคคลอื่น
ทำให้เขารู้สึกอับอาย เสียหาย
และตอกย้ำตราบาปในหัวใจของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งนั้น เป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่
หัวข่าว
ที่เลือกใช้คำไม่ต่างจากถ้อยคำในหนังสือโป๊ในตลาดล่าง
เพียงเพื่อตอบสนองความสะใจของคนทำ เป็นความสำคัญผิดหรือไม่ว่า
คนอ่านต้องการอ่านข่าวเช่นนี้
ผู้ลงประกาศโฆษณา ยินดีที่จะสนับสนุนแนวทางเช่นนี้
แน่นอนว่า
ไม่เพียงหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เท่านั้น
แต่ยังมีหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับในต่างจังหวัด ทั้งในลำปางและจังหวัดอื่นๆ
ยังมีความเชื่อว่าการเสนอข่าวเร้าอารมณ์ ข่าวชาวบ้าน
ข่าวที่มุ่งตอบรับสัญชาติญาณความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์
คือวัตรปฎิบัติที่กระทำได้เป็นปกติ พวกเขาต่างเรียกตัวเองว่า “มืออาชีพ”
คุยคำโตถึงประสบการณ์การทำงานข่าวมานับสิบๆปี
เสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่สำหรับข้อมูลข่าวสาร มีทรัพย์สินเงินทอง อาคารสำนักงาน
พร้อมทุกสิ่ง มีเพียงสิ่งเดียวที่ขาดหายไป คือ..
ความรับผิดชอบ
!
มีคนถามว่า
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ทำผิดจริยธรรม ข้อใด ถือเป็นนานาสังวาส
คือเป็นสิทธิที่เขาจะคิด จะทำอย่างอิสระตามใจตัวเองได้หรือไม่
คำตอบคือ
ถ้าเขาขายเต้าฮวย หรือทำอาชีพอื่นๆ ก็คงไม่เป็นประเด็น แต่การทำอาชีพสื่อมวลชน
คืออาชีพที่ต้องหากินอยู่บนพื้นที่สาธารณะ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังคม
และผู้คนมากมาย ถ้าเขาใช้พื้นที่สาธารณะนี้ไปโดยขาดความใคร่ครวญ
ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อคนอื่นแล้ว ความเสียหายก็จะมีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
หลักการสำคัญที่
หนังสือพิมพ์ภายใต้สังกัดสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะต้องยึดมั่น คือ
ต้องให้ความคุ้มครองอย่างเคร่งครัดต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก
ต้องไม่ซ้ำเติมความทุกข์หรือโศกนาฎกรรมอันเกิดแก่เด็กและครอบครัวของเขา
นอกจากนั้นจะต้องไม่แต่งเติมเนื้อหาสาระของข่าว
จนคลาดเคลื่อนหรือเกินจากความเป็นจริง
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้
ยังเสนอภาพตาของเด็ก และภาพด้านหลังของเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
แม้จะไม่เห็นหน้าเด็กชัดเจน
แต่การโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชน หรือสื่อสารสนเทศประเภทใด
ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง
โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ
หรือสิทธิอื่นใดของเด็ก แปลว่า ถ้าเห็นภาพแล้วรู้ว่าเด็กเป็นใคร
ก็ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มีโทษจำคุกไม่เกิน
6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท
สรุปคือผิดทั้งกฎหมายและจริยธรรม
ในแง่กฎหมายนั้น
ผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อาจแจ้งความดำเนินคดีผู้กระทำผิด
หรือขอให้ฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความจังหวัดลำปาง ดำเนินการให้
เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ
ส่วนเรื่องจริยธรรม
เนื่องจากหนังสือพิมพ์ที่กระทำผิดไม่ได้องค์กรสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาคมผู้สื่อข่าวจังหวัดลำปาง
เป็นเรื่องที่ท้าทายและทดสอบความกล้าหาญทางจริยธรรมของผู้นำองค์กรสื่อของจังหวัด
ในการยืนยันมาตรฐานการทำงานที่มีความรับผิดชอบ และการทำงานอย่างมืออาชีพ
คนในแวดวงสื่อทั้งประเทศ
กำลังเฝ้ามองว่า สมาคมผู้สื่อข่าวลำปาง จะทำอย่างไรกับ “ลุงใจร้าย” คนนี้