กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
เมื่อเร็ว
ๆ นี้ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อดีตบรรณาธิการนิตยสารสารคดี นักเขียนและนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
ได้โพสต์ภาพภูเขาหัวโล้นสุดลูกหูลูกตาในเขตจังหวัดน่าน ที่นักอนุรักษ์เห็นแล้วคงปวดหัวใจ
พร้อมข้อความในเฟสบุกส่วนตัว โดยระบุว่า ตั้งแต่ทำข่าวสิ่งแวดล้อมมาร่วม 30 ปี
ยังไม่เคยเห็นการทำลายป่าครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยเท่ากับการบุกรุกป่าเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดเพื่อทำอาหารสัตว์
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
ข้อมูลจากกรมป่าไม้เผยให้รู้ว่า ปัจจุบันป่าไม้ไทยเหลือแค่ 37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แทบจะรั้งท้ายประเทศเพื่อนบ้าน (จีนเหลือป่าไม้น้อยสุด คือ 22 เปอร์เซ็นต์) ภาคเหนือของเราแม้จะเหลือพื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย คือ
56 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยสักนิด
เมื่อวันชัยชี้ว่า ในอนาคต การทำลายป่าต้นน้ำเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดจะทำให้แม่น้ำปิง
“วัง” ยม น่าน ไม่มีน้ำ
เพราะป่าต้นน้ำนั้นสำคัญมาก เมื่อฝนตก ป่าจะซับน้ำฝนไว้เกือบหมด แล้วจึงค่อย ๆ
ปล่อยน้ำให้ไหลออกมา ทำให้แม่น้ำมีน้ำมาเติมตลอดในช่วงฤดูแล้ง
แต่เมื่อป่าต้นน้ำกลายเป็นไร่ข้าวโพด พอฝนตกลงมา น้ำจะไหลลงสู่ข้างล่างหมด
ไม่มีป่าคอยเก็บกักน้ำ พอถึงฤดูแล้ง จะไม่มีน้ำในแม่น้ำอีกต่อไป
วันชัยยังแฉข้อมูลน่าตกใจว่า
“ต้นเหตุแห่งปัญหาหมอกควัน คือ
พื้นที่ภูเขานับล้านไร่ทางภาคเหนือที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นไร่ข้าวโพดนับล้านไร่
รัฐบาลกล้าไหมครับที่จะประกาศออกมาว่า ปัญหาใหญ่ คือ
บริษัทเกษตรรายใหญ่เข้าไปส่งเสริมให้ชาวบ้านบุกรุกป่าปลูกข้าวโพด
เพื่อตัวเองจะได้รับซื้อเป็นอาหารสัตว์ แถมยังขายเมล็ดพันธุ์กับชาวบ้านอีก
“เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวโพด ชาวบ้านก็ต้องเผาซากไร่
เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกรอบใหม่ เป็นวงจรอุบาทว์ทุกปี ปัญหาหมอกควันทางภาคเหนือจึงไม่เคยแก้ไขได้
ตอนนี้ภูเขาประเทศเพื่อนบ้านก็เริ่มหัวโล้น
เพราะมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดกันหลายล้านไร่
แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เกษตรรายเดียวกันกับบ้านเราหรือไม่”
นอกจากนี้
วันชัยยังได้ตั้งข้อสังเกตหลายข้อด้วยกัน เช่น ทำไมพืชเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญจึงมีแค่
4 ชนิด
คือ ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน
หรือเพราะประธานและรองประธานสภาหอการค้าเป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลและบริษัท
เกษตรกรรมรายใหญ่
เช่นนั้นเมื่อชาวบ้านเผาป่าเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดจึงไม่มีใครกล้าจับ
และถึงแม้ว่าจะมีการทำลายป่าหลายล้านไร่เพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพด
แต่ชาวบ้านยังเป็นหนี้เป็นสินเหมือนเดิม ถามว่าบริษัทใดมีกำไรมหาศาลทุกปี
ทั้งนี้
เขายังเรียกร้องให้ประธานบริษัทดังกล่าวออกมาขอโทษประชาชนภาคเหนือ
โดยชี้ว่า
สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือ บอกความจริงให้ประชาชนรู้
“อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบเลยครับ กล้าไหมครับ
ที่ซีอีโอของบริษัทจะแถลงข่าวยอมรับผิดว่า
มีส่วนในการทำให้เกิดปัญหาหมอกควันพิษจากการเผาไร่ข้าวโพดที่บริษัทตัวเองมีส่วนในการเข้าไปส่งเสริม
และสัญญาว่า นโยบายการดูแลรักษาป่า คือ นโยบายหลักของบริษัทที่จะกระทำอย่างจริงจัง
จะไม่ส่งเสริมให้มีการปลูกข้าวโพด หรือรับซื้อข้าวโพดในพื้นที่ป่าต่อไป หากทำได้
นั่นคือจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาร่วมกันครับ”
เราต่างรู้ดีว่า
ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ ปัญหาหมอกควันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ล้วนมีค่า PM
10 (ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมา ไมครอนเป็นหน่วยวัด โดย 10,000 ไมครอน
เท่ากับ 1 เซนติเมตร) ซึ่งเป็นค่าฝุ่นละอองในอากาศที่หากสูดเข้าไปจะมีผลกระทบกับระบบทางเดินหายใจ
วัดได้สูงเกิน 300 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร ทั้ง ๆ
ที่ค่ามาตรฐานของประเทศไทยกำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 120 ดัชนีชี้วัด
อีกประการหนึ่ง คือ จำนวน Hot Spot ที่แสดงผลโดยการสำรวจทางดาวเทียม
พบว่า มีจำนวนมากจนน่าตกใจ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
น่าคิดตามวันชัยที่ว่า
น่าอนาถใจที่เราเปลี่ยนพื้นที่ป่าต้นน้ำหลายสิบล้านไร่ ซึ่งมีคุณค่าเหลือคณานับ
เพื่อให้กลายเป็นไร่ข้าวโพดให้หมู เป็ด ไก่ กิน...
ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่ปัญหาหมอกควันจะได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็น “วาระแห่งชาติ” ถึงเวลาแล้วกระมัง ที่เราต้องร่วมกันทวงคืนผืนป่าประเทศไทย
เรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดมาตรการคืนสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับประชาชนบ้าง