วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ย่ำทะเลทราย เปิดโลกมุสลิม

           
นความเป็นจริง ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลไทย และซาอุดิอาระเบีย ขาดสะบั้นไปนานแล้ว หลัง เกรียงไกร เตชะโม่ง คนแม่ปะหลวง อ.เถิน จ.ลำปาง ขโมยเครื่องเพชรไปจากพระราชวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส และฟางเส้นสุดท้าย เมื่อศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีต ผบช.ภ.ในคดีอุ้มฆ่า นายมูฮัมหมัด อัลลูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ พระญาติของเจ้าชายไฟซาล
           
การคงไว้ซึ่งสถานทูต โดยมีเลขานุการโท เป็นเจ้าหน้าที่สูงสุด ก็เพื่อการค้าในระดับเอกชนบางส่วน และการที่ประเทศไทยมีกลุ่มคนมุสลิมที่จะต้องเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนา อีกทั้งการเดินทางไปศึกษาวิชาการศาสนา จึงจำเป็นจะต้องมีหน่วยงานออกวีซ่า
           
มิฉะนั้น จะต้องถือพาสปอร์ตชาติมุสลิมใกล้บ้าน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไปขอทำวีซ่าที่สถานทูตในประเทศเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และเป็นไปไม่ได้ ทั้งยังผิดหน้าที่ของมุสลิมตามหลักการศาสนา  หากมีการกีดกั้นมิให้คนไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจญ์ และอุมเราะฮ์ ที่นครมักกะห์  ประเทศซาอุดิอาระเบีย
           
ดังนั้น คำเชื้อเชิญ “ม้าสีหมอก” ในนามของกษัตริย์ซัลมาน บินอัลดุลอาซีซ อาลาซอูด เป็นแขกพิเศษ ไปเยือนเมืองสำคัญอย่างน้อยสองเมือง คือ มะดีนะห์ และมักกะห์  เมื่อช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงนับเป็นโอกาสสำคัญที่หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นเมืองปิดสำหรับคนต่างศาสนา และเป็นเมืองที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตาชาวโลกมาก่อน ในมิติของการท่องเที่ยว เนื่องเพราะสถานทูตซาอุฯไม่มีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยว
           
ม้าสีหมอกเดินทางลัดฟ้า ด้วยเครื่องซาอุดี อาราเบียน แอร์ไลน์  จากมาเลเซีย เพราะเครื่องบินซาอุดี ไม่จอดประเทศไทย
           
ผ่านเวลา ชั่วโมงเต็ม กับเวลาประเทศไทยที่เดินนำหน้าไปราว ชั่วโมง จุดหมายปลายทางก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
           
เราเริ่มก้าวแรกที่มะดีนะฮ์ อากาศระอุร้อน ทะลุ 40 องศา คล้ายเดินอยู่หน้าเตาไฟที่กำลังลุกโชน อากาศร้อนและแห้ง ทำให้ไม่มีเหงื่อเหมือนประเทศร้อน เช่นประเทศไทย
           
มะดีนะฮ์ เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัล-บานาวีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งเดียวกับบ้านพักของศาสดามูฮัมมัด เป็น ใน มัสยิดสำคัญในโลกอิสลาม นอกจากมัสยิดอัล-ฮะรอม และมัสยิดอัล-อักศอ ตลอดทั้งปี อัล-บานาวีย์ คลาคล่ำด้วยมุสลิมเรือนแสนจากทุกมุมโลก แม้จะมิใช่สถานที่อันเป็นจุดมุ่งหมายในการทำศาสนกิจภาคบังคับของอิสลาม
           
อีกมิติหนึ่ง มะดีนะฮ์ คือนครรัฐบนแผ่นดินทะเลทราย เป็นศูนย์บัญชาการทั้งศาสนจักรและอาณาจักรในยุคเริ่มแรกของอิสลาม  เป็นสถานที่หนึ่งในสองที่อัล – กุรอาน ถูกประทานลงมา สำคัญยิ่งคือเป็นฐานที่มั่นของมุสลิม ในการตระเตรียมเสบียง กำลังพล และจิตวิญญาณในการกลับไปยึดครองนครมักกะห์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
           
วันนี้ มะดีนะฮ์ คือศูนย์กลางการค้าสำคัญในโลกอาหรับ ตึกสูงไม่เกิน 13 ชั้น โดยยังคงสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม กระจายอยู่ทั่วเมือง  โรงแรมระดับ ดาว เปิดแอร์เย็นฉ่ำตลอด 24 ชั่วโมง ปะทะกับลมร้อน ที่คล้ายจะเผาร่างให้มอดไหม้ในทันทีที่ก้าวออกจากประตู
           
มะดีนะฮ์ เดิมชื่อ ยัษริบ ต่อมาเปลี่ยนเป็น มะดีนะตุน นะบี (Madinat un nabi) หรือเมืองแห่งศาสดา
           
ศาสดาและศาสนาใหม่ ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากชนเผ่าที่ครอบครองนครมักกะห์ และเทวรูป 360 องค์ รายรอบวิหารกะอ์บะอ์
           
แต่ในที่สุดอำนาจและผลประโยชน์ของบรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆ ในการใช้เทวรูปเหล่านั้นเป็นเครื่องมือก็ถูกทลายลง ด้วยการปักธงอิสลามลงบนแผ่นดินทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และรวมทุกชนเผ่าเป็นหนึ่ง เป็นเสมือนพี่น้องกันโดยไม่แยกแบ่งสีผิว เผ่าพันธุ์ ภายใต้พระเจ้าองค์เดียว
           
“ฉันขอเรียกร้องมายังพวกเจ้าทั้งหมด ให้แสดงความเคารพต่อเกียรติยศ ชีวิต และทรัพย์สินของกันและกัน ในทำนองเดียวกันกับที่พวกเจ้าได้แสดงออกซึ่งความเคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของวันนี้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมดล้วนเป็นพี่น้องกัน ถ้าหากมีบางสิ่งที่เป็นของผู้ใดสักคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้า ย่อมไม่เป็นที่อนุมัติ สำหรับผู้อื่นที่จะเอาไปโดยปราศจากการขออนุญาตจากเจ้าของ”
           
ถ้อยคำบางตอน ในฮัจญ์อำลา ของศาสดามูฮัมมัด  ที่เป็นรากฐานของชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลามปัจจุบัน
           
โลกอิสลาม และชุมชนมุสลิมยังคงเป็นที่หวาดระแวงของสังคมไทยส่วนใหญ่ แต่การขยายตัวของผู้เข้ารับอิสลามทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่นๆก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว
           
อาจจะมีบางมุมของอิสลาม ที่ถูกบดบังด้วยความเชื่อ และความหวาดระแวง แต่ความจริงแท้ก็อาจถูกค้นพบได้สักวันหนึ่ง

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1033  วันที่  19  - 25  มิถุนายน 2558) 
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์