ผ่านมาหนึ่งปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า
“..ทุกกระทรวงต้องเร่งทำงาน ไม่เช่นนั้นวันหน้าถูกไล่ถอนหงอกว่าได้ทำอะไรไปแล้ว ที่ผ่านมาหนึ่งปี เป็นเพียงหนังตัวอย่าง มีทั้งดาวดีและดาวร้าย แต่ดาวร้ายอาจจะเยอะ เดี๋ยววันหน้าก็ต้องเสียเวลาคัดดาวดีอีก เสียเวลาคัดดารามาอีก แต่ต่อไปใครจะมาทำหนังจริงก็แล้วแต่ท่าน”
คนฟังอาจฟังแล้วเฉยๆ เพราะไม่ว่าใครจะอยู่ในอำนาจ ใครจะปลอบประโลมใจคล้ายจะให้อดทนดูหนังตัวอย่างไปพลางๆก่อน เขาก็ต้องทำมาหากิน ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองที่ไม่ค่อยมีใครพูดวิพากษ์ วิจารณ์ เพราะกลัวว่าจะไปดูแคลนความมุ่งหวังตั้งใจของคนที่เสียสละมาทำงานให้ประเทศชาติ
คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ดิบได้ดี จากการเมืองเปลี่ยนขั้ว ได้ลาภยศ สักการะ จากตำแหน่งแห่งหนต่างๆ อย่างไม่คาดฝัน ก็ปิดตาเสียข้างหนึ่ง แล้วเล่นบทลูกขุนพลอยพยัก ที่ปลอดภัย และอบอุ่นมั่นใจว่าอยู่ ข้างฝ่ายชนะ
แต่หากไม่คิดคดต่อหลักการ และมองความจริงอย่างที่มันเป็น ต้องพูดว่า รัฐบาลที่ไม่ฟังใคร และสำคัผิดว่า “ข้าเก่งคนเดียว” รัฐบาลที่เลือกแต่พวกพ้องเข้ามาทำงาน รัฐบาลที่มีบรรดาเทคโนแครตเป็นไม้ประดับ ไม่มีปาก มีเสียง รัฐบาลที่อ้างแต่ “อำนาจพิเศษ” ทำลายหลักธรรมาภิบาลย่อมเป็นรัฐบาลที่จะสร้างและสั่งสมปัหามากมายในอนาคต
เรื่องแบบนี้ ต้องพูดกันในเวลานี้ ในเวลาที่อาณาจักรแห่งความหวาดกลัวแผ่ปกคลุม จนไม่มีใครแน่ใจว่าหากพูดไปแล้วจะมีภัยย้อนกลับมาที่ตัวเองหรือไม่ แม้จะพูดความจริง อย่างตรงไปตรงมา และไม่มีผลประโยชน์อื่นใด ไม่มีฝักฝ่ายทางการเมืองก็ตาม
โชคดีที่มีการปล่อยตัว 33 นักศึกษา ที่จัดกิจกรรมต่อต้าน คสช.เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีเสียก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
ความจริงนั้น มีทั้งด้านดี ด้านร้าย ด้านดีก็คือไม่ว่าจะคิดอ่านอย่างไร ต้องยอมรับเสียก่อนในสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
“ผมไม่ได้อยากอยู่ในอำนาจ แต่เพราะเป็นคนเดียวที่สามารถรับมือกับปัหาที่ประเทศไทยเผชิอยู่ในขณะนั้นได้ และยืนยันด้วยว่าประเทศไทย จะกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ประชาธิปไตยจะเข้มแข็ง ยั่งยืน ก้าวหน้าและทัดเทียมประเทศอื่น”
แปลว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ตัดสินใจยึดอำนาจในนาทีนั้น ประเทศอาจย่อยยับเสียหายจนไม่อาจประเมินได้
แต่ปัหาที่ตามมาหลังจากนั้น ก็คือการบริหารจัดการ อำนาจ ไม่ให้มากไปจนดูเหมือนเผด็จการ และไม่น้อยเกินไปจนไม่สามารถกุมสภาพได้ สำคัที่สุดเมื่อคนมีอำนาจ และสำคัผิดในอำนาจ ลุแก่อำนาจ มันจะนำมาซึ่งความน่าเวทนามากกว่าชื่นชม และที่ร้ายไปกว่าก็คือ ในยามที่อำนาจล้นฟ้า จะหาใครพูดความจริงสักคำก็ยากยิ่ง
ดังนั้น จึงมีถ้อยคำเช่นนี้ ออกจากปากพล.อ.ประยุทธ์
“เราทำมากกว่าไอ้รัฐบาลบ้านั่นอีก จะบอกให้รู้ และรู้มากกว่าที่เขารู้อีก ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก”
นี่เป็นด้านร้ายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะอธิบายได้ในแบบทหารที่โผงผาง ตรงไปตรงมาเป็นเรื่องปกติ แต่อธิบายไม่ได้สำหรับคนที่เป็นผู้นำประเทศ
และอธิบายไม่ได้ ในคำพูดแบบ ไปหามา ไปคิดมา ไปทำมา เพราะมันเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่หน้าที่คนอื่น
9 เดือนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3 เดือนในบทบาทหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมเป็นหนึ่งปีในอำนาจ ก็ ไม่แตกต่างไปจากครั้งเป็นผู้บัชาการทหารบก แม้จะมีบางสิ่งที่ขับเน้นให้เห็นบทบาทพระเอกขี่ม้าขาวอยู่บ้าง เช่น ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เช่น การใช้อำนาจเด็ดขาดจัดการข้าราชการกังฉิน เช่นความพยายามที่จะขายหวยรัฐบาลให้ได้ตามราคาซึ่งเรียกว่าเป็นงานที่ไร้แก่นสารมาก
แต่ก็เป็นได้เพียงตัวปลอม ขัดทัพ รอเวลาความจริงมาถึงเท่านั้น
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1030 วันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2558)