เดี๋ยวนี้รถเก๋งใหม่ๆ หลายรุ่นใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งผมมีความเห็นมานานแล้วว่าควรนำมาให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกใช้ เพราะมีจุดเด่นอยู่ที่ความประหยัดเชื้อเพลิง และน้ำมันดีเซลก็ยังถูกกว่าเบนซินอยู่พอสมควร แต่ผมก็ดีใจอยู่ได้เพียงชั่วครู่ เพราะเมื่อเห็นราคาของรถเหล่านี้แล้ว ไม่ต้องเอาเครื่องคิดเลขมาคำนวณหรอกครับ แค่ลองคำนวณอย่างหยาบๆ ในใจก็ได้คำตอบว่า หาความคุ้มแทบไม่ได้เลย สำหรับครั้งนี้ขอเน้นเฉพาะเรื่องความคุ้มค่าของรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้นครับ
ต้นทุนของรถดีเซลนั้น สูงกว่ารถเบนซิน แต่ไม่ใช่ระดับที่ผมได้พบครับ จึงอยากแนะนำผู้อ่านว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อเพราะความได้เปรียบด้านความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ต้องตรวจสอบความคุ้มค่าก่อน เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติด้านนี้แล้ว หาจุดที่ได้เปรียบรถเครื่องเบนซินได้ยาก อย่าให้ใครเอาข้ออ้างแบบไร้สาระ เบี่ยงประเด็น มาเป็นจุดเด่นในการชวนให้ซื้อนะครับ ประเภท "ลุยน้ำลึกหน้าฝนได้สบาย ไม่ต้องกลัวเครื่องดับ" เพราะไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าที่เขี้ยวหัวเทียน ถ้าน้ำลึกเกิน ถึงเครื่องยนต์จะไม่ดับ อีกหลายอย่างที่แช่น้ำ หรือสัมผัสน้ำไม่ได้ ก็พังพินาศไปแล้ว
สำหรับผู้ใช้รถเป็นระยะทางไม่มาก จะต่อวันต่อเดือนหรือปีก็ตาม เช่น วันละไม่ถึง 40 กม. ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือคำนวณให้เหนื่อยครับ ซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปเลย ประหยัดเงินกว่ามาก ส่วนผู้ที่ขับเป็นระยะทางค่อนข้างมาก เช่น วันละ 100 กม. ขึ้นไป หรือเฉลี่ยปีละเกิน 30,000 กม. ยังไม่ได้หมายความว่าใช้รถดีเซลแล้วคุ้มค่ากว่านะครับ ต้องลองคำนวณดูก่อน เริ่มจากประเมินความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงๆ ของเรา ว่ามีค่ากี่ กม. ต่อเชื้อเพลิง 1 ลิตร ของทั้งรถเบนซินและดีเซล เอาราคาต่อลิตรคูณก็จะได้ค่าเป็นระยะทางต่อราคาเชื้อเพลิง แล้วเอาราคาตั้งหารด้วยระยะทาง ก็จะได้ค่าเชื้อเพลิง ต่อ 1 กม. เอามาคูณกับระยะทางเฉลี่ยต่อปีที่ประเมินการใช้รถของเราไว้ ก็จะเป็นค่าเชื้อเพลิงต่อปี แน่นอนว่าค่าของรถเครื่องดีเซลรุ่นที่เราสนใจ ย่อมถูกกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เอาส่วนต่างของราคารถทั้งสองรุ่น ซึ่งก็คือส่วนที่รุ่นดีเซลแพงกว่านี่แหละครับ เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยมูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้น้อยกว่ารุ่นเบนซิน ต่อปี ก็จะเป็นระยะเวลาที่เราใช้งานมัน จนกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน
สมมติว่าได้ค่าออกมา 5.2 ปี หรือราวๆ 5 ปีเศษ แล้วเราตั้งใจไว้ว่าจะใช้รถรุ่นนี้ไม่เกิน 5 ปี หรือ 5 ปีครึ่ง ก็จบครับ ไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยอีกต่อไป เลือกซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปดีกว่า เพราะหากไม่มีความคุ้มค่าด้านประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว คงหาด้านอื่นมาสู้รุ่นเบนซินได้ยาก เพราะเครื่องเบนซินทำงานได้ละเอียด นุ่มนวลกว่า และเงียบกว่าด้วย ค่าบำรุงรักษาก็ไม่แตกต่างกัน และหากหมดระยะประกันคุณภาพไปแล้ว โอกาสเสียค่าอะไหล่ ราคาสูง โดยรุ่นดีเซล ก็น่ากลัวพอสมควรครับ เช่น ปั๊มแรงดันสูงมากของระบบคอมมอนเรล ซึ่งราคาก็สูงโหดระดับเดียวกับความดันน้ำมัน
สมมติว่าคำนวณคร่าวๆ ออกมาแล้ว รถดีเซลได้เปรียบนิดหน่อย ก็อย่าเพิ่งเลือกนะครับ เพราะน้ำมันเป็นผลบั้นปลายเมื่อเลิกใช้รถ ต้องคำนวณผลประโยชน์จากส่วนต่าง ตั้งต้นที่ราคารถเบนซินถูกกว่าด้วย ว่าเอาไปออกดอกออกผลได้เพียงใด แล้วยังต้องคำนึงถึงราคาขายเมื่อเลิกใช้ด้วย เพราะราคาที่สูงกว่าของรุ่นดีเซลตอนเราซื้อมาใหม่ มันไม่ได้คงอยู่สูงกว่ารุ่นเบนซินไปตลอดนะครับ
ต้นทุนของรถดีเซลนั้น สูงกว่ารถเบนซิน แต่ไม่ใช่ระดับที่ผมได้พบครับ จึงอยากแนะนำผู้อ่านว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อเพราะความได้เปรียบด้านความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ต้องตรวจสอบความคุ้มค่าก่อน เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติด้านนี้แล้ว หาจุดที่ได้เปรียบรถเครื่องเบนซินได้ยาก อย่าให้ใครเอาข้ออ้างแบบไร้สาระ เบี่ยงประเด็น มาเป็นจุดเด่นในการชวนให้ซื้อนะครับ ประเภท "ลุยน้ำลึกหน้าฝนได้สบาย ไม่ต้องกลัวเครื่องดับ" เพราะไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าที่เขี้ยวหัวเทียน ถ้าน้ำลึกเกิน ถึงเครื่องยนต์จะไม่ดับ อีกหลายอย่างที่แช่น้ำ หรือสัมผัสน้ำไม่ได้ ก็พังพินาศไปแล้ว
สำหรับผู้ใช้รถเป็นระยะทางไม่มาก จะต่อวันต่อเดือนหรือปีก็ตาม เช่น วันละไม่ถึง 40 กม. ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือคำนวณให้เหนื่อยครับ ซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปเลย ประหยัดเงินกว่ามาก ส่วนผู้ที่ขับเป็นระยะทางค่อนข้างมาก เช่น วันละ 100 กม. ขึ้นไป หรือเฉลี่ยปีละเกิน 30,000 กม. ยังไม่ได้หมายความว่าใช้รถดีเซลแล้วคุ้มค่ากว่านะครับ ต้องลองคำนวณดูก่อน เริ่มจากประเมินความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงๆ ของเรา ว่ามีค่ากี่ กม. ต่อเชื้อเพลิง 1 ลิตร ของทั้งรถเบนซินและดีเซล เอาราคาต่อลิตรคูณก็จะได้ค่าเป็นระยะทางต่อราคาเชื้อเพลิง แล้วเอาราคาตั้งหารด้วยระยะทาง ก็จะได้ค่าเชื้อเพลิง ต่อ 1 กม. เอามาคูณกับระยะทางเฉลี่ยต่อปีที่ประเมินการใช้รถของเราไว้ ก็จะเป็นค่าเชื้อเพลิงต่อปี แน่นอนว่าค่าของรถเครื่องดีเซลรุ่นที่เราสนใจ ย่อมถูกกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เอาส่วนต่างของราคารถทั้งสองรุ่น ซึ่งก็คือส่วนที่รุ่นดีเซลแพงกว่านี่แหละครับ เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยมูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้น้อยกว่ารุ่นเบนซิน ต่อปี ก็จะเป็นระยะเวลาที่เราใช้งานมัน จนกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน
สมมติว่าได้ค่าออกมา 5.2 ปี หรือราวๆ 5 ปีเศษ แล้วเราตั้งใจไว้ว่าจะใช้รถรุ่นนี้ไม่เกิน 5 ปี หรือ 5 ปีครึ่ง ก็จบครับ ไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยอีกต่อไป เลือกซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปดีกว่า เพราะหากไม่มีความคุ้มค่าด้านประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว คงหาด้านอื่นมาสู้รุ่นเบนซินได้ยาก เพราะเครื่องเบนซินทำงานได้ละเอียด นุ่มนวลกว่า และเงียบกว่าด้วย ค่าบำรุงรักษาก็ไม่แตกต่างกัน และหากหมดระยะประกันคุณภาพไปแล้ว โอกาสเสียค่าอะไหล่ ราคาสูง โดยรุ่นดีเซล ก็น่ากลัวพอสมควรครับ เช่น ปั๊มแรงดันสูงมากของระบบคอมมอนเรล ซึ่งราคาก็สูงโหดระดับเดียวกับความดันน้ำมัน
สมมติว่าคำนวณคร่าวๆ ออกมาแล้ว รถดีเซลได้เปรียบนิดหน่อย ก็อย่าเพิ่งเลือกนะครับ เพราะน้ำมันเป็นผลบั้นปลายเมื่อเลิกใช้รถ ต้องคำนวณผลประโยชน์จากส่วนต่าง ตั้งต้นที่ราคารถเบนซินถูกกว่าด้วย ว่าเอาไปออกดอกออกผลได้เพียงใด แล้วยังต้องคำนึงถึงราคาขายเมื่อเลิกใช้ด้วย เพราะราคาที่สูงกว่าของรุ่นดีเซลตอนเราซื้อมาใหม่ มันไม่ได้คงอยู่สูงกว่ารุ่นเบนซินไปตลอดนะครับ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1067 วันที่ 19 - 25 กุมภาพันธ์ 2559)