![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmEJL7tQr11ceI2ThxlIpyunNtmjkgxruWgLlpmeUOMG-txZka_9DGF7OLmdxz2hyphenhyphenj3tz_LHGNjEvH9Kg8lMA61VNkevA82jV7qPILl4QEvWkeVHul03x9f6vtWeHxW_q8KcP5JTAz/s640/.jpg)
กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
แดดบ่ายระอุอ้าว
แทรกด้วยเสียงอึกทึกของยวดยานใจกลางเมืองลำปาง ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟริมถนนบุญวาทย์
แม้จะเป็นห้องเล็ก ๆ เพียงคูหาเดียว แต่แอร์เย็นฉ่ำ เสียงพูดคุยเพียงพึมพำ และความหอมละมุนของกลิ่นกาแฟ
ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่า นี่คือโลกอีกใบที่ทับซ้อนอยู่ในโลกอันวุ่นวายภายนอก
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaKBlVY8N6Op2EMna-AU3FKms-SncS2g32E_w6DXLHdjH04L8qKUCY2-2SwAVUUItKRTrOsw1jbN7ta5gczOZXUsMJApIo44InTKBrbXXwrzde6GHQ7IN091v68xOlvqMobnuQ0m5F/s200/IMG_1130.jpg)
กาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนียและอาราเบีย
ถูกค้นพบในราวศตวรรษที่ 5
ที่ประเทศอาราเบีย สมัยนั้นไม่มีใครให้ความสนใจนัก
จนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 9 คนรักกาแฟคงเคยได้ยินเรื่องของคนเลี้ยงแพะชาวอาราเบียชื่อคาลดี
ที่นำแพะออกไปเลี้ยง แล้วแพะบังเอิญไปกินผลและใบกาแฟเข้า จนคึกคะนองผิดปกติ คาลดีนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระมุสเล็มองค์หนึ่งฟัง
ท่านจึงไปเก็บผลกาแฟมากะเทาะเปลือก แล้วเอาเมล็ดไปคั่ว จากนั้นก็ต้มในน้ำร้อนดื่ม
ปรากฏว่า รู้สึกกระปรี้กระเปร่าดี จึงได้บอกต่อ ๆ กันไป
ชาวอาราเบียจึงรู้จักกาแฟมากขึ้น จากนั้นกาแฟก็เริ่มแพร่หลายไปยังชาวอิตาเลียน
ดัตช์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และกระบวนการผลิตกาแฟก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา
ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธ์
(นายเจรินี
ชาวอิตาเลียน ) เมื่อปี พ.ศ. 2454 กล่าวว่า
ประเทศไทยปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ส่วนพันธุ์โรบัสตานั้น
มีชาวไทยมุสลิมคนหนึ่ง ชื่อ นายตีหมุน เป็นผู้นำมาปลูกคนแรกที่อำเภอสะบ้าย้อย
จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2447 ก่อนจะแพร่หลายไปยังจังหวัดต่าง
ๆ ทางภาคใต้ของประเทศไทย
ปัจจุบันทั่วโลกมีกาแฟอยู่มากกว่า
6,000 พันธุ์ แต่มีเพียง 2 พันธุ์เท่านั้น
ที่ได้รับความนิยมปลูกเป็นการค้า นั่นคือ พันธุ์อาราบิกาและพันธุ์โรบัสตา
กาแฟพันธุ์อาราบิกาเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุดในโลก
มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณประเทศเอธิโอเปีย
เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศค่อนข้างเย็น กาแฟพันธุ์นี้มีคุณภาพดี รสชาติหอมหวนชวนดื่ม
และมีความเป็นกรดเล็กน้อย ปลูกกันมากบนพื้นที่สูง 1,500-2,000 เมตร
จากระดับทะเลปานกลาง โดยจะมีปริมาณคาเฟอีนร้อยละ 0.5-1.4
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQ0R_La1nxh79Ys5R5_gye3sFGufk4zA_Z-QJeeI4ZTCz_M2-0R-zXxjE_igXuStlHG2O47e-XYHgjmwW79ypOgrlUUgPG3UGtibwtpDoMTwj4U06uvIqzh0RbNmMdnLjBRFkQ4xEp/s200/IMG_1121.jpg)
ระหว่างคอกาแฟสายอาราบิกากับสายโรบัสตายังมีดรามาออกมาเรื่อย
ๆ ไม่นับสายสุขภาพอย่างกาแฟออร์แกนิกกับไม่ออร์แกนิก เรื่องนี้
เจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมถนนบุญวาทย์บอกว่า ลูกค้าของเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
ซึ่งไม่แคร์เรื่องนี้ ทว่าสนใจในเรื่องกระบวนการมากกว่า พร้อมกับเสริมว่า
การคั่วจนเกือบไหม้นั่นต่างหากคือเรื่องที่ควรกังวล เพราะนั่นหมายความว่าคุณกินคาร์บอนเข้าไปทุกวัน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5oJoMki7YH91LlKzkjwzpdhKuYJJKpwjXCcu78eGOUDGfTyC1oT1Mi_Lv3z-nSiHZ287DUBRmSoxA8_VgPdG_3R0MFF2b2YizcQD1-pyv9p0EfoVq4y7hv89eH_GuZKsaiuvVSAdv/s200/IMG_1111.jpg)
ในนามของก้อง
วัลเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสตามาเนิ่นนาน นอกจา
กกาแฟจะปลอดสารเคมีแล้ว
ยังคั่วในกระทะแบบโบราณที่อุณหภูมิไม่ถึง 400 องศาฯ
ไม้พายที่ใช้ในการคนเมล็ดกาแฟยังทำจากไม้อบเชย (ไม้ประจำจังหวัดระนอง)
อีกทั้งการผสมกาแฟโรบัสตาหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์เมล็ดเล็ก เมล็ดใหญ่ และเมล็ดโทนในการคั่วรวมกันแต่ละครั้ง
เป็นการเบลนด์โดยธรรมชาติ ทำให้กาแฟที่นี่มีเอกลักษณ์
นอกจากจะได้คั่วเอง
ชงเอง ดื่มเอง ที่นี่ยังมีชาดอกกาแฟ (Coffee Blossom) เป็นตัวชูโรง
ใครได้จิบสักครั้งเป็นต้องติดใจในความหอมละมุน เจือรสหวานนิด ๆ ชาดอกกาแฟไม่มีคาเฟอีน
แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จิบได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1083 วันที่ 17 - 23 มิถุนายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น