กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
แดดบ่ายระอุอ้าว
แทรกด้วยเสียงอึกทึกของยวดยานใจกลางเมืองลำปาง ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟริมถนนบุญวาทย์
แม้จะเป็นห้องเล็ก ๆ เพียงคูหาเดียว แต่แอร์เย็นฉ่ำ เสียงพูดคุยเพียงพึมพำ และความหอมละมุนของกลิ่นกาแฟ
ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่า นี่คือโลกอีกใบที่ทับซ้อนอยู่ในโลกอันวุ่นวายภายนอก
เป็นที่รู้กันดีว่า
ทุกวันนี้เมืองลำปางนั้น แทบทุกถนน แม้แต่ตามตรอกซอกซอย ล้วนเต็มไปด้วยร้านกาแฟ
เฉพาะในเขตเทศบาลนครลำปาง มีร้านกาแฟและซุ้มกาแฟไม่ต่ำกว่า100 ร้าน
บางร้านตั้งราคาขายให้ลูกค้าจ่ายได้ง่าย ๆ
ขณะที่บางร้านเจ้าของใช้ประสบการณ์จากเมืองนอกมาเปิดร้านเล็ก ๆ ชงเอง ขายเอง
ด้วยเชื่อมั่นว่า แม้ลำปางจะเป็นเมืองเล็ก ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่
แต่ถ้าร้านกาแฟเจ๋งจริง ก็ต้องอยู่ได้ ร้านของเขาจึงไม่ใช่ขายกาแฟคุณภาพ
ทว่าเนี้ยบในทุกรายละเอียด และแน่นอน ราคาย่อมสูงตามไปด้วย
ซึ่งคอกาแฟบางกลุ่มก็พร้อมจะจ่าย เพื่อแลกกับกาแฟดี ๆ ที่ชงอย่างประณีต
โดยเจ้าของร้านผู้รักกาแฟ เข้าใจความซับซ้อนของกาแฟ
และพร้อมตอบทุกข้อสงสัยในเรื่องกาแฟ
กาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนียและอาราเบีย
ถูกค้นพบในราวศตวรรษที่ 5
ที่ประเทศอาราเบีย สมัยนั้นไม่มีใครให้ความสนใจนัก
จนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 9 คนรักกาแฟคงเคยได้ยินเรื่องของคนเลี้ยงแพะชาวอาราเบียชื่อคาลดี
ที่นำแพะออกไปเลี้ยง แล้วแพะบังเอิญไปกินผลและใบกาแฟเข้า จนคึกคะนองผิดปกติ คาลดีนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระมุสเล็มองค์หนึ่งฟัง
ท่านจึงไปเก็บผลกาแฟมากะเทาะเปลือก แล้วเอาเมล็ดไปคั่ว จากนั้นก็ต้มในน้ำร้อนดื่ม
ปรากฏว่า รู้สึกกระปรี้กระเปร่าดี จึงได้บอกต่อ ๆ กันไป
ชาวอาราเบียจึงรู้จักกาแฟมากขึ้น จากนั้นกาแฟก็เริ่มแพร่หลายไปยังชาวอิตาเลียน
ดัตช์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และกระบวนการผลิตกาแฟก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา
ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธ์
(นายเจรินี
ชาวอิตาเลียน ) เมื่อปี พ.ศ. 2454 กล่าวว่า
ประเทศไทยปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ส่วนพันธุ์โรบัสตานั้น
มีชาวไทยมุสลิมคนหนึ่ง ชื่อ นายตีหมุน เป็นผู้นำมาปลูกคนแรกที่อำเภอสะบ้าย้อย
จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2447 ก่อนจะแพร่หลายไปยังจังหวัดต่าง
ๆ ทางภาคใต้ของประเทศไทย
ปัจจุบันทั่วโลกมีกาแฟอยู่มากกว่า
6,000 พันธุ์ แต่มีเพียง 2 พันธุ์เท่านั้น
ที่ได้รับความนิยมปลูกเป็นการค้า นั่นคือ พันธุ์อาราบิกาและพันธุ์โรบัสตา
กาแฟพันธุ์อาราบิกาเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุดในโลก
มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณประเทศเอธิโอเปีย
เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศค่อนข้างเย็น กาแฟพันธุ์นี้มีคุณภาพดี รสชาติหอมหวนชวนดื่ม
และมีความเป็นกรดเล็กน้อย ปลูกกันมากบนพื้นที่สูง 1,500-2,000 เมตร
จากระดับทะเลปานกลาง โดยจะมีปริมาณคาเฟอีนร้อยละ 0.5-1.4
กาแฟโรบัสตาเป็นพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีมาก
เป็นกาแฟสายพันธุ์ดั้งเดิมแถบศูนย์สูตร มีรสชาติเข้มข้น ทนทานโรคมากกว่าพันธุ์อาราบิกา
สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศอบอุ่นกว่า สามารถปลูกได้ดีตั้งแต่ระดับทะเลปานกลาง
ไปจนถึงระดับ 1,200
เมตร จากระดับทะเลปานกลาง
กาแฟโรบัสตาต้องการความชุ่มชื้นและฝนที่ตกอย่างสม่ำเสมอ ชอบร่มเงา โดยจะมีปริมาณคาเฟอีนร้อยละ
1.7-4.0
ระหว่างคอกาแฟสายอาราบิกากับสายโรบัสตายังมีดรามาออกมาเรื่อย
ๆ ไม่นับสายสุขภาพอย่างกาแฟออร์แกนิกกับไม่ออร์แกนิก เรื่องนี้
เจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมถนนบุญวาทย์บอกว่า ลูกค้าของเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
ซึ่งไม่แคร์เรื่องนี้ ทว่าสนใจในเรื่องกระบวนการมากกว่า พร้อมกับเสริมว่า
การคั่วจนเกือบไหม้นั่นต่างหากคือเรื่องที่ควรกังวล เพราะนั่นหมายความว่าคุณกินคาร์บอนเข้าไปทุกวัน
ขณะที่อีกฟากหนึ่งของประเทศไทย
มีกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในวิถีของโรบัสตา ที่บ้านบกกราย หมู่บ้านเล็ก ๆ
ในหุบเขาอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง หากดูในแผนที่โลก
จะพบว่าที่นี่ตั้งอยู่ในระนาบเหนือเส้นศูนย์สูตรเดียวกับแหล่งกาแฟที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกอย่างเคนยา
บราซิล และโคลัมเบีย
ในนามของก้อง
วัลเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสตามาเนิ่นนาน นอกจา
กกาแฟจะปลอดสารเคมีแล้ว
ยังคั่วในกระทะแบบโบราณที่อุณหภูมิไม่ถึง 400 องศาฯ
ไม้พายที่ใช้ในการคนเมล็ดกาแฟยังทำจากไม้อบเชย (ไม้ประจำจังหวัดระนอง)
อีกทั้งการผสมกาแฟโรบัสตาหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์เมล็ดเล็ก เมล็ดใหญ่ และเมล็ดโทนในการคั่วรวมกันแต่ละครั้ง
เป็นการเบลนด์โดยธรรมชาติ ทำให้กาแฟที่นี่มีเอกลักษณ์
นอกจากจะได้คั่วเอง
ชงเอง ดื่มเอง ที่นี่ยังมีชาดอกกาแฟ (Coffee Blossom) เป็นตัวชูโรง
ใครได้จิบสักครั้งเป็นต้องติดใจในความหอมละมุน เจือรสหวานนิด ๆ ชาดอกกาแฟไม่มีคาเฟอีน
แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จิบได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1083 วันที่ 17 - 23 มิถุนายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น