สัปดาห์ก่อนเล่าสู่กันฟัง
เรื่องกฎหมายคุมสื่อฉบับล่าสุด ที่ยังไม่ได้เปิดเผยเป็นทางการต่อสาธารณะ
ฉบับนี้ว่ากันต่อถึงโครงสร้างและที่มาของ คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
ซึ่งยึดโยงอยู่กับองค์กรวิชาชีพสื่อที่มีอยู่ ไม่ได้มีโครงสร้างเช่นกฏหมายสภาวิชาชีพเดิมในยุคก่อน
ที่มีตัวแทนอำนาจรัฐโดยตำแหน่งเข้าไปนั่งร่วมอยู่ในคณะกรรมการ
เจอพรรคพวกเพื่อนฝูง
ที่อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันก่อน
เล่าให้ฟังว่าจะมีกฎหมายฉบับนี้ไปให้พิจารณา
เพื่ออย่างน้อยอาจมีหลักประกันว่าต่อไปนี้การกำกับ ดูแลสื่ออาจจะมีผล ด้วย
“สภาพบังคับ” ตามกฎหมาย เขารับปาก แต่ “จอกอ” ไม่แน่ใจ มิใช่เพราะ
สนช.จะไม่โหวตผ่าน แต่หวั่นใจว่า องค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลาย คงต่อต้านกันสุดกำลัง
เพียงรู้ว่าจะมีการตรากฎหมายออกมาควบคุมสื่อ รายละเอียดของกฎหมายจะแตกต่าง
หรือเหมือนกับกฎหมายยุคเดิมหรือไม่ ไม่สนใจ
ทั้งที่การได้มาซึ่งคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
ก็มาจากองค์กรวิชาชีพสื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง
มาตรา 21 ของร่าง
พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
กำหนดว่า ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่งจำนวนเจ็ดคน
ทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่สมควรเป็นกรรมการ ประกอบด้วย
นายกสมาคมสมาพันธ์วิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย
นายกสภาทนายความ
และผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กรรมการตามมาตรา 26 มีอำนาจ
บริหารกิจการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ กำหนดมาตรฐานกลาง พิจารณา ตักเตือน
ปรับ หรือแก้ไขข้อความอย่างใดอย่างหนึ่ง ในกรณีที่มีการร้องเรียนว่าองค์กรสื่อมวลชน
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์
และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด เผยแพร่ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการ กำหนดระเบียบ
หลักเกณฑ์ และวิธีการกำหนดคุณสมบัติของสมาชิก การจดทะเบียนสมาชิก
การออกและการเพิกถอนใบรับรองสมาชิก
การพ้นสมาชิกภาพของสมาชิก การส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิการของสื่อมวลชน
การประชุมและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน
การประชุมใหญ่ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ การพิจารณาเรื่องร้องเรียน
การดำเนินคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนจริยธรรมสื่อมวลชน
การบริหารงานทั่วไป
การบริหารงานบุคคล การเงิน การพัสดุ และการจัดการทรัพย์สิน และการอื่นใด
ที่จำเป็นในการบริหารงานสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ พิจารณาเรื่องร้องเรียน
ในกรณีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
หรือกรณีผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนฝ่าฝืนจริยธรรมสื่อมวลชน
และมีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการจริยธรรมสื่อมวลชนมายังคณะกรรมการ
กำกับดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไปของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
กฎหมายฉบับนี้
ยังกำหนดมาตรฐานจริยธรรม เป็นมาตรฐานกลาง ซึ่ง “จอกอ” มีส่วนยกร่าง
โดยมาตรฐานกลางอย่างน้อยต้องมี การนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสาร จะต้องถูกต้อง
ครบถ้วน รอบด้าน และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย การนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสาร
จะต้องตระหนักถึงผลกระทบต่อบุคคลอื่น และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นส่วนตัว และการคุ้มคร องสิทธิส่วนบุคคลของผู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะเยาวชนและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
ทั้งนี้ต้องไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ประสบเคราะห์กรรม
รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำเสนอเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างกลุ่มคนในชาติหรือศาสนา
หรือการใช้ความรุนแรงระหว่างกัน
การนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสาร
จะต้องเป็นไปอย่างอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคล หน่วยงานรัฐ เอกชน
หรือองค์กรใดๆในทางที่มิชอบ การนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสาร
จะต้องเป็นไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เรียก รับ
หรือยอมรับผลประโยชน์ใดๆ อย่างมิชอบ
การนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสาร
จะต้องมีผู้รับผิดชอบในผลกระทบที่เกิดขึ้น
ในกรณีที่เสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสรที่ผิดพลาดหรือก่อให้เกิดผลกระทบ
จะต้องแสดงความรับผิดชอบและประกาศการแก้ไขข้อบกพร่องต่อสาธารณชนในทันที
กฎหมายฉบับนี้
ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการจริยธรรมสื่อมวลชน ซึ่งมีบทบาทและความสำคัญมากเช่นกัน
คงได้พูดถึงและอธิบายความในวาระต่อไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1084 วันที่ 24 - 30 มิถุนายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น