
ฉบับที่แล้วเขียนถึง โคมไฟที่มีระบบปรับได้ทั้งขนาดและทิศทางของลำแสง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
ถ้าผู้ขับต้องการเห็นผิวถนน
ลำแสงจากโคมไฟหน้าจะต้องพุ่งลงด้านล่างมากกว่าปกติ
การปรับลำแสงจากโคมไฟให้เปลี่ยนทิศนั้นไม่ยากครับ
ใช้มอเตอร์ขนาดเล็กปรับระดับสูงต่ำของเลนส์ หรือไม่ก็ปรับมุมของเลนส์
แต่การจะให้ระบบควบคุม รู้ ว่าถนนด้านหน้าเชิดขึ้นหรือลาดลง ต้องใช้กล้องถ่ายภาพในการวัดตำแหน่งที่ลำแสงตกสู่ผิวถนนหน้ารถ
ว่าใกล้หรือไกลเกินไปหรือเปล่าเมื่อเทียบกับระยะที่เหมาะสมและปลอดภัย
ใครที่เดินทางไกลกลางคืนเป็นประจำบนถนนระหว่างเมืองเล็กที่ไม่มีเกาะกลางถนนแบ่งฝ่าย
จะทราบดีว่าการเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างไฟสูงและไฟต่ำ เมื่อมีรถขับสวนมาเป็นระยะนั้น
ทำให้เราเหนื่อยและเครียดได้ไม่น้อย ปัญหานี้ผู้ผลิตโคมไฟหน้าให้บริษัทรถยนต์
รวมทั้งบริษัทรถยนต์เองก็ทราบมานานแล้วครับ
แต่ต้องรอเทคโนโลยีอื่นให้พร้อมต่อการรองรับ
ในการพัฒนาไฟหน้าที่สามารถใช้ไฟสูงได้ตลอดเวลา โดยผู้ขับไม่ต้องคอยเปลี่ยนเป็นไฟต่ำและขณะนี้ก็ถึงเวลาที่ว่านี้แล้ว
รุ่นแรกที่ผมจำได้จะมีให้เลือกใช้ใน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ที่เริ่มออกขายในยุโรปอยู่ขณะนี้ กล้องถ่ายภาพด้านหน้าของรถ
จะวัดตำแหน่งของรถที่ขับสวนทางมา แล้วส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์
เพื่อปรับมุมลำแสงของโคมไฟหน้าให้ส่องสว่างได้ไกลที่สุด
โดยที่แสงจะไม่เข้าตาผู้ขับคันใกล้ที่สุดที่สวนทางมา เป็นการปรับอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีตำแหน่งตายตัว สูง กับ ต่ำ แบบเดิมครับ พูดง่ายๆก็คือ
ระบบนี้มีไฟสูงที่ลดระดับได้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่สูงสุด (ไกลสุด)
ลงมาจนกระทั่งกลายเป็นไฟต่ำ ถ้าชอบต้องเตรียมเงินไว้เสริมครับ
เพราะบริษัทรถเยอรมัน ไม่ใช่เฉพาะแต่รายนี้ (ที่หนักสุดดูเหมือนจะเป็น ปอร์เช)
หารายได้จากอุปกรณ์เสริมให้เลือกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครเลือก
กาแบบไม่ยั้งในแค๊ตตาลอค ตอนบวกราคาเสร็จอาจจะ
ลมใส่หรือเกินงบประมาณที่มีอยู่ได้ง่ายๆ
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
จะรับข้อมูลล่าสุดจากกล้อง แล้วปรับมุมของลำแสงได้ทุกๆ 4 ใน 100ส่วนของวินาที หรือวินาทีละ 25 ครั้ง
รวดเร็วขนาดที่เราเรียกได้ว่าเป็นแบบปรับต่อเนื่องได้และถ้าใช้ความเร็วสูงมาก
อย่างในบางประเทศที่อนุญาต ระบบปรับไฟสูง ก็จะปรับระยะส่องสว่างให้เหมาะกับความเร็วที่ใช้ด้วย
คือ ยิ่งเร็ว ยิ่งส่องไกลขึ้น มาดูระยะทำงานของไฟหน้ารถรุ่นล่าสุดกันครับ
ผมขอเรียงโดยไม่จัดลำดับความ สำคัญดังนี้ ไฟต่ำ 0-50 กม./ชม.
ไฟเลี้ยวทางแยก 0-70 กม./ชม. ไฟเลี้ยวโค้ง 0-250 กม./ชม. ไฟไฮเวย์หรือไฟความเร็วสูง 110-250 กม./ชม.
ไฟตัดหมอก 0-110 กม./ชม.
ถ้าไม่หวังอะไรมาก
ก็ดูเหมือนจะเป็นระบบส่องสว่างสำหรับรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว
แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงหลักการทำงาน กลไกสำหรับปรับลำแสงจากโคมไฟแบบซีนอน
ซึ่งล้วนต้องใช้มอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับกลไก
เราจะเห็นทันทีว่ายังมีข้อกำหนดอยู่มากเหมือนกันตั้งแต่อายุใช้งานของมอเตอร์ไฟฟ้า
และความไว้วางใจได้ ความเร็วในการปรับที่ยังขึ้นอยู่กับการทำงานของมอเตอร์ มุม
และระดับของเลนส์ที่ถูกปรับ ก็ยังมีค่าไม่มากเท่าที่ต้องการ
ปัญหาทั้งหมดนี้แก้ได้ด้วยการใช้ไดโอดส่องแสง
หรือที่พวกเราคุ้นเคยกันในชื่อ เอลอีดีติดตั้งเป็นแผงเต็มขนาดโคมไฟ
เราสามารถเลือกรูปแบบ และความสว่างของลำแสง ได้มากมายจำนวนนับไม่ถ้วน
โดยการเลือกปล่อยกระแสไฟฟ้าไปสู่แอลอีดี เหล่านี้ แทบ ไม่ต้องใช้เวลาในการปรับเลย
ไม่มีมอเตอร์ และกลไกให้เปลืองพลังงาน หรือสึกหรอหรือชำรุด
อายุใช้งานของไดโอดเหล่านี้ก็สูงมาก
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1092 วันที่ 19 - 25 สิงหาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น