จำนวนผู้เข้าชม
กรุงไทยสำนักงานใหญ่ชี้แจง
สาวลูกจ้าง อบจ.เป็นหนี้บัตรเครดิต 2 ใบ
ตกลงให้หักเงินผ่านบัญชีธนาคาร แต่ลูกค้าได้ย้ายบัญชี
และไม่ได้ชำระหนี้จึงส่งฟ้องตามกฎหมาย
ขณะที่เจ้าตัวยันหัวชนฝาไม่เคยกู้เงินบัตรเครดิต รอกระบวนการยุติธรรมชี้ขาด
จากกรณีที่ได้มีการนำเสนอข่าวของ
น.ส.วรณัน ณ ลำพูน อายุ 32 ปี พนักงานจ้าง ของ อบจ.ลำปาง
มานั่งขอทานอยู่ตรงบันไดทางขึ้นศาลากลางจังหวัดลำปาง
พร้อมกับเขียนข้อความขอความเป็นธรรมหลังถูกพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งปลอมแปลงลายเซ็น
และนำไปกู้เงิน ทำให้ต้องเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว ร่วม 1
แสนบาท
และโดนศาลแขวงเชียงใหม่ฟ้องดำเนินคดี เมื่อวันที่ 8
พ.ค. 58 จากนั้นเจ้าตัวจึงได้นำหลักฐานเอกสารที่อ้างว่าถูกพนักงานธนาคารการปลอมลายเซ็นดังกล่าว
เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองลำปาง แม้ว่าเรื่องจะเกิดมานานนับปีแล้ว แต่คดีกับไม่มีความคืบหน้า
ด้วยความร้อนใจจึงได้ทำหนังสือขอถวายฎีกาถึงสำนักพระราชวัง
ผู้บังคับการจังหวัดลำปาง ศูนย์ดำรงธรรม และรักษาการนายก อบจ.
เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดที่ตนเองเป็นลูกจ้างให้รับรู้เรื่องราวต่างๆ และในวันที่ 18 ส.ค.59 ที่ผ่านมา
จึงได้ไปนั่งขอทานที่ศาลากลางจังหวัด
ล่าสุดทางผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง
น.ส.วรณัน ณ ลำพูน ผู้เสียหาย ถึงความคืบหน้าทางคดี ซึ่งก็รับการบอกเล่าว่า หลังจากทราบว่าถูกฟ้อง และถูกปลอมลายเซ็น ตนเองจึงได้ไปแจ้งความไว้
แต่เรื่องก็ไม่คืบหน้า จึงได้ยื่นร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน รวมถึงยื่นฎีกาไปถึงสำนักพระราชวังด้วย
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 59 ทางสำนักราชเลขาได้มีหนังสือมาถึงตนเอง พร้อมกับแจ้งว่า
ขณะนี้ทางสำนักราชเลขาได้รับเรื่องเอาไว้แล้วและจะส่งเรื่องไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการต่อไป
ซึ่งต่อมาทางสำนักราชเลขาได้มีหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดให้ดำเนินการต่อ กระทั่งทางอัยการฯส่งเรื่องมายังสำนักงายอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี
ภาค 5 เชียงใหม่ ให้เรียกคู่กรณี
และผู้บริหารของธนาคารดังกล่าวมาทำการไกล่เกลี่ยในวันที่ 26 เม.ย. 59
แต่ฝ่ายผู้บริหารและคู่กรณีไม่ไปตามนัด
แต่ใช้วิธีโทรศัพท์แจ้งไปยังคณะผู้ไกล่เกลี่ยโดยอ้างว่าไม่สะดวกในการเดินทางแต่จะขอให้ไปไกล่เกลี่ยกันที่สำนักงานอัยการ
จ.ลำปางแทน ซึ่งทางสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์ฯ จ.เชียงใหม่
จึงได้ทำบันทึกข้อมูลเอาไว้เพื่อเสนอไปยังสำนักราชเลขาเพื่อแจ้งเรื่องให้ทราบ
และทำหนังสือฉบับใหม่ส่งไปยังสำนักงานอัยการ จ.ลำปาง ให้นัดมาไกล่เกลี่ยกันในวันที่ 6 ก.ค.59 จากนั้นทางสำนักงานอัยการได้แจ้งไปยัง
สภ.เมืองลำปาง ให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม
ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นของทางตำรวจและอัยการ
น.ส.วรณัน กล่าวว่า ยอดเงินที่ตนเองถูกฟ้องนั้นมีมา 2 ยอด
ยอดละประมาณ 3 หมื่นบาท รวมเป็นเกือบ 7
หมื่นบาท ซึ่งยอมรับว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตจริงอยู่ 3
หมื่นกว่าบาท แต่อีกยอดหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นหนี้จากที่ไหน
จึงเชื่อว่าตนเองถูกปลอมลายเซ็นจนก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่มเติมขึ้นมา ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางไปขึ้นศาลแล้ว
ก็รวมกว่า 1 แสนบาท
ตอนนี้ตนเองก็ยังต้องรอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน การที่มานั่งขอทาน
คนที่มองเห็นอาจจะเข้าใจว่ามาขอเงิน แต่ความจริงแล้วตนมาขอทานความยุติธรรม
เพราะเชื่อว่าความยุติธรรมยังมีอยู่
น.ส.วรณัน
ยังกล่าวอีกว่า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ ตนเองก็จะหมดสัญญาจ้างกับ อบจ.ลำปาง
ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้รับการต่อสัญญาหรือไม่ การที่ตนเองต้องออกมาต่อสู้ในเรื่องนี้
จำเป็นที่จะต้องลางานเนื่องจากต้องเดินทางไปสถานที่ราชการหลายแห่ง ตนก็เข้าใจและยอมรับได้
หากไม่ได้รับการต่อสัญญา ถึงอย่างไรก็จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด
“เคยท้อจนคิดว่าไม่อยากจะอยู่แล้ว
แต่พอคิดถึงคนข้างหลัง คิดถึงพ่อแม่ หากเราไม่อยู่สักคนแล้วเข้าจะอยู่กันอย่างไร
เราจึงต้องสู้ สู้ให้ถึงที่สุด” น.ส.วรณัน กล่าว
ด้านนายเกรียงเดช
สุทธิภักติ รองนายก อบจ.ลำปาง รักษาการนายก อบจ.ลำปาง กล่าวว่า กรณีของ น.ส.วรณัน ณ ลำพูน ลูกจ้าง
อบจ.ลำปาง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นส่วนตัว และทราบว่าขณะเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
ยังไม่ชี้ชัดว่าฝ่ายใดถูกผิด จึงไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอผลการตัดสินก่อน
ส่วนการช่วยเหลือคงทำให้เพียงให้หยิบยืมได้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น
สำหรับ
น.ส.วรณัน จะหมดสัญญาจ้างกับ อบจ.ลำปาง ในวันที่ 29 ก.ย.59 นี้ จะได้รับการต่อสัญญาหรือไม่นั้น
อยู่ที่ผลการประเมินการทำงาน
เบื้องต้นทราบว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
ทางเจ้าตัวเองก็รับทราบและยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ต้องรอรายงานผลจากคณะกรรมการประเมินอีกครั้ง
ขณะเดียวกันหลังจากที่ได้มีการนำเสนอข่าวออกไป
และได้มีชาวโซเชียลมีเดีย นำข่าวไปตั้งในกระทู้ของเว็บไซด์พันทิปดอทคอม กระทั่งเมื่อวันที่ 24
ส.ค. 59
ทางธนาคารกรุงไทยได้ออกมาชี้แจงผ่านกระทู้ดังกล่าว ข้อความระบุว่า
ตามที่
MGR ONLINE ได้เผยแพร่ข่าว หมดหนทาง
สาวอบจ.นั่งขอทานหาเงินสู้-โดนปลอมลายเซ็นกู้เงินจนจะโดนยึดบ้าน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น
ธนาคารกรุงไทย
ขอเรียนชี้แจงว่า นางสาววรณัน ณ ลำพูน เป็นลูกค้าสาขาเซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง เปิดบัญชีใช้บริการเงินเดือนผ่านบัญชี
ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ต่อมาในเดือนกันยายน 2556
ลูกค้าได้ขอสมัครทำบัตรเครดิตที่สาขาด้วยตนเอง โดย
บมจ.บัตรกรุงไทยได้อนุมัติให้ทำบัตรเครดิต KTC VISA และบัตร KTC
Cash Revolve ซึ่งเป็นบัตรกดเงินสด โดยมีวงเงินสินเชื่อ
ซึ่งลูกค้าได้แสดงเอกสารรายได้ ตามเงื่อนไขที่ บมจ.บัตรกรุงไทยกำหนด
ในการนี้ ลูกค้ามีการใช้บัตรเครดิต KTC VISA รูดซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งใช้บัตร KTC Cash Revolve เบิกเงินสดอย่างต่อเนื่อง ต่อมาลูกค้าผิดนัดชำระ ในส่วนของบัตร KTC
Cash Revolve ซึ่งลูกค้าได้ตกลงยินยอมชำระหนี้กับ บมจ. บัตรกรุงไทย
โดยให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ทุกเดือน เป็นเวลา 11
เดือน หลังจากนั้นลูกค้าได้ย้ายบัญชีเงินเดือนไปยังสาขาอื่นของธนาคาร
ทำให้สาขาเซ็นทรัล พลาซ่า ลำปาง
ไม่สามารถหักบัญชีเพื่อชำระหนี้ได้เช่นเดิม บมจ.บัตรกรุงไทย
จึงได้ดำเนินคดีและยื่นฟ้องต่อศาลแขวงเชียงใหม่
เมื่อคดีถึงที่สุด ศาลได้มีคำพิพากษาให้นางสาววรณันฯ
ชดใช้หนี้บัตรเครดิตทั้ง 2 ใบให้กับ บมจ.บัตรกรุงไทย
ซึ่งนางสาววรณันฯ ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล
แต่ได้แจ้งความกลับธนาคารในภายหลัง โดยกล่าวหาว่า
ถูกพนักงานธนาคารปลอมแปลงลายเซ็นสมัครใช้บัตร KTC Cash Revolve ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการภาค 5
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ขอยืนยันว่า
พนักงานได้ปฏิบัติงานตามระเบียบธนาคาร
และธนาคารได้ให้บริการลูกค้าทุกรายอย่างมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส
ตลอดจนปฏิบัติตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ท่าน
ได้โปรดเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลให้กับสาธารณชนด้วยจะขอบคุณยิ่ง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1093 วันที่ 26 สิงหาคม - 1 กันยายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น