เหตุวินาศกรรมที่ศาลพระพรหม เอราวัณ กับปฏิบัติการเผา วางระเบิด สร้างความปั่นป่วนในจังหวัดภาคใต้ตอนบน หมุนมาเจอกันเมื่อห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นเหตุการณ์และบทเรียน
สำหรับการทำข่าวของสื่อในสถานการณ์อ่อนไหว ที่ยังต้องการความเข้าใจในหลักการ
และการเข้าถึงความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ ของผู้ประสบเคราะห์ร้าย
ในฐานะที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อเช่นเดียวกัน
มิใช่ในฐานะสื่อที่ต้องการเพียงขายข่าวและภาพ
เหตุร้ายที่เกิดขึ้นมีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง
ที่การทำหน้าที่ของสื่ออาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย หรือช่วยให้สติแก่สังคม
โดยไม่กระพือข่าวร้ายนี้ให้เกิดภาวะวุ่นวาย สับสนมากขึ้น
เพราะด้านหนึ่งสื่อต้องทำหน้าที่ในทางวิชาชีพ
คือการรายงานข่าว
แต่ในอีกด้านหนึ่งสื่อก็คือคนไทยคนหนึ่งที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมนี้
เช่นเดียวกับคนทั่วไป
การทำซ้ำซึ่งภาพ
และข่าวผู้บาดเจ็บ หรือผู้เสียชีวิต คือการซ้ำเติมชะตากรรมผู้สูญเสีย
เช่นเดียวกับการยกระดับการสร้างความรุนแรง เป็นการก่อการร้าย
ย่อมกลายเป็นเครื่องมือของผู้กระทำให้ฮึกเหิม สำคัญผิด
และพยายามขยายความรุนแรงให้มากขึ้น
หน้าที่และบทบาทของสื่อในยามนี้
คือการรายงานข่าวและภาพ ตามข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้าน
โดยไม่ด่วนสรุปว่าเป็นฝ่ายไหน หรือใครเป็นผู้บงการ
อีกทั้งย้ำเตือนมิให้สังคมตื่นกลัว จนเกินเหตุ
เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ลงมือกระทำความรุนแรงต้องการ
สติของสังคม
และการทำหน้าที่อย่างระมัดระวังของสื่อ จะช่วยให้เราผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้
ความจริงเราเคยมีบทเรียน
ปรากฏการณ์ระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อปีก่อน
เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับการรายงานข่าวในสถานการณ์รุนแรง ที่ต้องยอมรับว่า
ผู้ก่อเหตุเลือกใช้บริเวณที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจสำคัญและการท่องเที่ยวของประเทศ เช่นเดียวกับเหตุระเบิดครั้งล่าสุด
การขยายผลด้วยภาพและข่าวเหตุการณ์ของสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อย่างครึกโครม ก็เท่ากับช่วยกระพือข่าวให้เห็นว่าประเทศไทยไม่มีความมั่นคง ปลอดภัย
ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางยิ่ง
ถึงแม้จะคาดเดาได้ว่า
ผลต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยคุณค่าข่าว และบทบาทหน้าที่ “นายประตูข่าวสาร” ก็ย่อมปฏิเสธในการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน
รอบด้านไม่ได้
แต่ประเด็นสำคัญคือสื่อได้เสนอข่าวและภาพโศกนาฏกรรมกลางกรุงครั้งนั้นอย่างไร
โดยไม่บกพร่องในหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรับผิดชอบในฐานะคนไทยคนหนึ่งด้วย
บทเรียนความรับผิดชอบข้อแรก
ก็คือ ต้องแยกบทบาทความเป็นคนข่าว และอคติส่วนตัวออกจากกัน เช่น
นักข่าวมีความโน้มเอียงหรือมีทัศนคติทางการเมืองไปในทางหนึ่งทางใด หรือมีความเชื่อสำเร็จรูปเหมือนกับกลุ่มสุดโต่งฝ่ายหนึ่งที่ว่า
ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นที่ใด จะต้องเป็นฝีมือของผู้สูญเสียอำนาจคนนั้น
ซึ่งเราไม่อาจจะใช้อคติส่วนตัว
บนพื้นที่สาธารณะ
ประการต่อมา
การเสนอข่าวและภาพผู้สูญเสีย ต้องคำนึงมิให้ล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนชาติภาษาไหน
และต้องไม่ซ้ำเติมความทุกข์หรือโศกนาฏกรรมความยากลำบาก
ความทุกข์ทรมาน ด้วยการนำเสนอภาพศพญาติของเขาในสภาพอเนจอนาถ หรือนำเสนอภาพศพซ้ำๆ
ในสื่อโทรทัศน์
นอกจากนั้น
ควรตรวจสอบที่มาหรือแหล่งข่าวให้ชัดเจน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี
ในการขยายความขัดแย้งด้วยข่าวลวงต่างๆผ่านสื่อสังคมออนไลน์
สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
และการสื่อสารในกรอบจริยธรรม คือผู้ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟสบุ๊ค
แพร่และแชร์ภาพผู้เสียชีวิต หรือการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง เช่น การด่า
บริภาษ ด้วยภาษาหยาบคาย รุนแรง กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง
เส้นแบ่งระหว่างสื่ออาชีพ
กับผู้ที่เป็นเพียงผู้ใช้สื่อ อาจแยกแบ่งได้ชัดเจน จากปรากฏการณ์ครั้งนั้น
และควรจะได้นิยามความเป็นสื่อแต่ละประเภท เพื่อให้ประชาชนได้รู้เท่าทันสื่อ
และเป็นหลักให้เขาจำแนกได้ว่าจะให้ความเชื่อถือสื่อแต่ละประเภทอย่างไร
นอกจากสื่อสังคมออนไลน์แล้ว
สื่อต่างประเทศ อาจมีบางบทความ หรือมีบทวิเคราะห์เหตุระเบิดครั้งนั้นและครั้งนี้
โดยเชื่อมโยงกับหลายๆเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง สื่อไทยต้องระมัดระวังไม่ให้
เป็นเครื่องมือขยายความ ที่จะสร้างปัญหาความขัดแย้งในหมู่คนไทยให้มากขึ้น
ทั้งหมดเป็นโศกนาฏกรรมของสังคมไทย
ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของสื่อจะต้องรายงานข่าวตามปกติ อย่างครบถ้วน รอบด้าน
แต่ขณะเดียวกันสื่อก็ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ
มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช้ความเป็นสื่อซ้ำเติม
ผู้สูญเสียหรือผู้เคราะห์ร้ายอีก
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1092 วันที่ 19 - 25 สิงหาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น