กระบวนการปฏิรูปสื่อในยุค คสช.ได้เดินทางมาถึงจุดหมายหนึ่ง ที่อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในแวดวงวิชาชีพสื่อมวลชนพอสมควร นั่นคือการจัดการให้มีหลักประกันที่ชัดเจน และวางใจได้มากขึ้น กรณีที่ประชาชนถูกละเมิดโดยสื่อมวลชน
หลักประกันเช่นว่านั้น
คือการออกแบบให้มีการกำกับชั้นที่สาม ในรูปของ”คณะกรรมการองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน”
เพื่ออย่างน้อยให้มี “สภาพบังคับ”
แต่เป็นสภาพบังคับเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม หลังจากที่องค์กรสื่อมวลชน
ไม่สามารถเยียวยาแก้ไขความเสียหายให้กับผู้ถูกละเมิดได้ หรือหลังจากที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
ได้ดำเนินการสอบสวนจนครบถ้วนกระบวนความแล้วแต่ยังไม่เป็นที่ยุติ
โดยนัยนี้
คณะกรรมการองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
ก็จะทำหน้าที่คล้ายศาลสูงในการตัดสินคดีความที่ยังมีข้อโต้แย้งกันในศาลชั้นต้น
แต่ไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการจัดการสื่อที่ละเมิด
และถึงแม้ว่าจะมีการยื่นเรื่องร้องเรียนโดยตรงต่อคณะกรรมการองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
ก็ต้องกลับไปเริ่มต้นที่องค์กรสื่อเสมอ ซึ่งถือเป็นการกำกับชั้นที่ 1 จากนั้น
จึงไปที่สภาวิชาชีพ ซึ่งขณะนี้ มีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เป็นการกำกับชั้นที่ 2 ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในหลักการกำกับ ดูแลกันเอง
การกำกับดูแล
“กันเอง” ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ
โดยใช้มาตรการทางสังคมนั้น ถือว่าดีที่สุด แต่ความจริงที่ยากจะปฏิเสธก็คือ
แม้จะใช้เวลานานนับสิบปีในการสั่งสมประสบการณ์และความรู้ ที่จะกำกับดูแลให้เป็นผล
ให้ประจักษ์ชัดถึงความเข้มแข็งและประสิทธิภาพในการกำกับ แต่เมื่อสื่อมีพัฒนาการมากขึ้น
มีการเติบโตขยายตัวมากขึ้น มีเป้าหมายในเชิงธุรกิจชัดเจนมากขึ้น
การดูแลกันเองแทบจะไม่ส่งผลอันใดเลย
สื่อที่ละเมิด
ก็ยังละเมิดสม่ำเสมอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อถามว่าจะมีมาตรการในการกำกับดูแลอย่างไรให้
“เชื่อฟังกัน” คำตอบคือต้องรอให้สังคมเรียนรู้และสรุปบทเรียนร่วมกับสื่อ
ซึ่งแปลความได้ว่า ไม่มีคำตอบ ไม่มีแนวทาง
และไม่มีหลักประกันใดที่สื่อจะดูแลกันเองได้
นี่เองเป็นที่มาของแนวคิดในการกำกับ
ดูแลในชั้นที่ 3
ในรูปของคณะกรรมการองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งก็มีที่มาจากผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนด้วยกันเองเลือกกันเอง ไม่มีกรรมการโดยตำแหน่ง ไม่มีตัวแทนของรัฐบาล
และไม่สามารถมีอำนาจอื่นแอบแฝงเข้ามาได้
ด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการที่จะคัดกรองจากผู้ประกอบวิชาชีพตัวจริง มีผลงานและความต่อเนื่องเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพ
ฉะนั้น
จึงไม่แปลกที่หลักการและเหตุผลในการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ มิได้ให้น้ำหนักในการควบคุมสื่อ
เหมือนประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42
พระราชบัญญัติการพิมพ์ 2484 ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่
97
หากหลักการนั้นได้ครอบคลุมถึงการคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชน ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานแห่งวิชาชีพ
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในระดับเดียวกับหลักการกำกับ ดูแลในชั้นที่สาม
กฎหมายฉบับนี้
จึงไม่ได้เรียกว่ากฎหมายจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
ไม่ได้เรียกว่ากฎหมายจัดตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ที่ผู้มีอำนาจพยายามเสนอเมื่อยี่สิบปีก่อน
แต่เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน อันสะท้อนถึงเนื้อหาอันแท้จริงของกฎหมายฉบับนี้
สภาพบังคับของกฎหมายฉบับนี้
ไม่ได้เป็นไปตามอารมณ์ ความรู้สึกของผู้มีอำนาจ เช่นเดียวกับ ปว.17 ปร.42
พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 จนกระทั่งประกาศ
คสช.ฉบับที่ 97 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผู้มีอำนาจสามารถใช้ควบคุมสื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ
และยังคงสภาพการเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับได้ในทันที แต่กลับไม่มีการพูดถึง
และเรียกร้องให้ทบทวน
มายาคติของกฎหมายคุมสื่อ
ประการหนึ่งอาจมาจากการไม่ศึกษาให้ถ้วนถี่
และไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของสื่ออย่างเพียงพอ
ประการหนึ่งอาจมาจากนโยบายของผู้บริหารสื่อ ที่ไม่พร้อมจะทำงานด้วยความรับผิดชอบ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1096 วันที่ 16 - 22 กันยายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น