ในวัย 75 ปี ‘วัชราภรณ์ สดใส’ ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านไม้โบราณอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งวันนี้ก็ยังคงเค้าความงามจากอดีต นี่คือบ้านของคุณตาที่เคยเป็นนายห้างป่าไม้ กับคุณยายที่มีฝีมือในการทำอาหารพื้นถิ่นเหนือแท้ๆ ไม่เพียงบ้านจะยืนหยัดมาจนถึงคนรุ่นหลานรุ่นเหลน แต่มรดกที่คุณยายมอบไว้ให้มีคุณค่ากว่านั้น เพราะมันคือสูตรการทำผงฮังเลและน้ำพริกฮังเลสูตรเฉพาะ จากรุ่นยาย สู่รุ่นแม่ กระทั่งตกทอดมาถึงป้าวัชราภรณ์
“ถ้าคุณแม่ยังอยู่ป่านนี้ก็คง
90
กว่าแล้วค่ะ” ป้าวัชราภรณ์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม “สมัยก่อนคุณตาทำป่าไม้
ส่วนคุณยายก็เป็นแม่บ้าน ขณะเดียวกันก็สอนคุณแม่ทำกับข้าวไปด้วย ซึ่งภายหลังคุณแม่ก็ทำกับข้าวขายหน้าบ้านนี่ล่ะ
โดยมีแกงฮังเลเป็นตัวชูโรง” ป้าวัชราภรณ์เท้าความหลังอย่างแช่มชื่น
“พวกที่ทำงานอำเภอเขาจะชอบบ่น”
หญิงสูงวัยเว้นจังหวะชวนให้เราสงสัย “คือบ่นว่าเวลาคุณแม่ทำกับข้าวกลิ่นมันจะหอมจนเขาทนไม่ไหว
บ่ายสามโมงต้องรีบออกมาซื้อ กับข้าวสิบกว่าอย่าง สมัยนั้นถุงละ 3 บาท
ตั้งขายไม่นานก็หมด”
พร้อมๆกับที่ทำแกงฮังเลขาย
คุณแม่ก็จะทำผงฮังเลสูตรของคุณยายวางขายด้วย แต่สมัยนั้นยังไม่ได้ทำน้ำพริกฮังเล
นอกจากลูกค้าประจำจะมาสั่งให้ทำเป็นพิเศษ จึงจะทำผงฮังเลและน้ำพริกฮังเลให้พร้อม
เรียกได้ว่า ซื้อเพิ่มแต่หมูเท่านั้น
“คุณแม่สั่งเครื่องเทศจากอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย ซึ่งเขาก็จะสั่งจากทางพม่ามาอีกต่อหนึ่ง
ลำปางไม่มีหรอกค่ะเครื่องเทศเหล่านี้” เครื่องเทศตามสูตรของคุณยายมีมากมายถึง 10 กว่าชนิด
เช่น อบเชย แปดกลีบ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่อาจเปิดเผย เช่นเดียวกับ “เคล็ดลับพิเศษ”
ที่ยังคงเป็นความลับ ทำให้ผงฮังเลและน้ำพริกฮังเลของที่นี่มีความหอม กลมกล่อม ครองใจผู้คนมาหลายรุ่น
หลังได้รับผงเครื่องเทศชนิดต่างๆจากคู่ค้าที่อำเภอแม่สาย
ผงเครื่องเทศจะถูกนำมาผสมกันตามสัดส่วนที่สืบทอดมา ทั้งนี้
สิ่งสำคัญคือความแม่นยำของส่วนผสม ซึ่งต้องใช้วิธีชั่งตวงวัดทุกครั้ง
เมื่อผสมผงเครื่องเทศตามสูตรแล้ว
ก็ต้องนำไปอบเพื่อดึงรสและกลิ่นของเครื่องเทศแต่ละชนิดออกมาให้มากที่สุด
“ผงฮังเลที่ดีต้องหอมค่ะ”
ป้าวัชราภรณ์พูดพลางเอนหลัง “ทีนี้ทำอย่างไรให้หอม ก็ต้องมีความสดใหม่
หากเก่าเก็บผงจะไม่หอมเลย” อันที่จริงผงฮังเลสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือน
แต่ก็แน่ล่ะ สำหรับที่ร้านแล้ว ไม่ต้องรอถึง 6 เดือนก็ขายหมด
ส่วนน้ำพริกฮังเล
ซึ่งเป็นของคู่กัน มีผงฮังเลก็ต้องมีน้ำพริกฮังเลจึงจะแกงฮังเลได้ น้ำพริกที่ดีต้องหอมเช่นกัน
ที่สำคัญคือสดใหม่ แม้ป้าวัชราภรณ์จะบ่นอุบเรื่องของแพง
กระเทียมกิโลกรัมหนึ่งเป็นร้อยบาท แต่ก็ต้องรักษาสูตร
จะปรับลดส่วนผสมใดไม่ได้แม้แต่น้อย ตะไคร้ก็ต้องใช้เฉพาะจากอำเภอเมืองปานเท่านั้น
เพราะต้นใหญ่ อวบ เนื้อเยอะกว่าแหล่งไหน นอกจากกระเทียมกับตะไคร้แล้ว ยังมีข่า
หอมแดง พริกแห้ง กะปิ ขมิ้น นอกเหนือจากนี้คือ “เคล็ดลับพิเศษ” น้ำพริกฮังเลของที่นี่ยังปราศจากสารกันบูดโดยสิ้นเชิง
ป้าวัชราภรณ์จะทำน้ำพริกฮังเลคราวละประมาณ 2-3 กิโลกรัม แล้วแบ่งใส่ถุง
ถุงละ 1 ขีด เก็บไว้ในช่องแข็ง ซึ่งก็อยู่ได้นานราว 2
เดือน แต่ก็อีกนั่นแหละ วางขายไม่นานก็หมดแล้ว
“เคยกินแกงฮังเลของพม่าแท้ๆนะคะ
ของเขาไม่มีรสหวาน และจะใส่ถั่วลิสงลงไปเป็นเม็ดๆ แต่สูตรของเราจะไม่มีถั่ว”
ป้าวัชราภรณ์
ซึ่งเป็นหลานของคุณยาย ได้ปรับสูตรแกงฮังเลให้เข้มข้นขึ้นตามลิ้นของคนยุคปัจจุบันที่มักจะติดรสหวานเล็กน้อย
โดยใช้ชื่อว่า ‘ผงฮังเลคุณยาย’ เฉพาะผงฮังเลซองละ 5 บาท ส่วนน้ำพริกฮังเลถุงละ 20 บาท เดิมเคยขายชุดละ 20
บาท เพิ่งมาขึ้นเป็นชุดละ 25 บาทได้เพียง 3
เดือน เพราะราคาวัตถุดิบที่ขยับสูงขึ้นอย่างที่เราๆก็รู้กัน บ่อยครั้งที่มีคนมาขอซื้อไปขายต่อ
แต่ป้าก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า หากนำไปขายต่อแล้วขายไม่ดี ของก็จะเก่าเก็บ
แล้วในที่สุดก็จะไม่หอม หากผงฮังเลกับน้ำพริกฮังเลไม่หอมเสียแล้ว คงเป็นอันจบกัน
ผงฮังเลคุณยายยังมีความพิเศษอีกอย่าง
คือ สามารถนำไปปรับทำเมนูผัดผงกะหรี่
ส่วนน้ำพริกฮังเลก็นำไปทำแกงเผ็ดได้ด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้ยังไม่ได้ถ่ายทอดสูตรให้ใครแบบเป็นเรื่องเป็นราว
พอบอกว่าต้องมานั่งเรียนจริงจังสัก 2-3 วัน เพราะวัตถุดิบของเราต้องชั่งตวงวัดทุกอย่าง
ต้องแม่นยำ ไม่เช่นนั้นสูตรจะเสีย เท่านั้นแหละไม่มีใครยอมมาเรียน
สมัยนี้เด็กรุ่นใหม่จะเอาเร็ว ๆ เข้าว่า ไม่ค่อยพิถีพิถัน”
ป้าวัชราภรณ์โคลงศีรษะพลางยิ้ม
ช่วงเทศกาลสำคัญๆ
ของคนลำปาง อย่างเช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา หรือสงกรานต์
เมนูดั้งเดิมที่แทบทุกบ้านต้องทำไปถวายวัด นั่นก็คือ ต้มจืดวุ้นเส้นและแกงฮังเล
ช่วงเทศกาลนี้ ครอบครัวป้าวัชราภรณ์เองก็ทำแกงฮังเลไปถวายวัดเช่นกัน
ทำคราวหนึ่งใส่ปิ่นโตมากถึง 20 เถา ของญาติพี่น้องบ้าง ลูกหลานบ้าง
ฝากกันมา
“ปีนี้ไม่รู้จะทำมากๆ
ไหวไหม สุขภาพก็ไม่ค่อยดีแล้ว” ป้าวัชราภรณ์เอ่ยเบาๆ คล้ายรำพึง
“อีก
5 ปี 10 ปีข้างหน้า ยังคิดนะว่า
เด็กรุ่นใหม่จะทำแกงฮังเลกันเป็นไหม แล้วยังจะไปวัดกันอยู่หรือเปล่า” คำตอบต่อคำถามของหญิงชราที่ผ่านร้อนหนาวมายาวนานกว่า
75 ปีช่างไม่อาจคาดเดา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1099 วันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น