จำนวนผู้เข้าชม
มาดูการทำงานของแดมเพอร์ ในจังหวะคลาย
หรือ REBOUND กันต่อ ใช้การแล่นข้ามสันในตัวอย่างเดิมครับ
เพราะเข้าใจง่าย ถ้าเราเข้าใจการทำงานพื้นฐานแล้ว
จะใช้ความเข้าใจนี้ให้เป็นประโยชน์ได้มาก ตอนปรับแดมเปอร์
(ของรุ่นที่ทำมาให้ปรับได้) ชุดพิเศษของเรา พอล้อพ้นยอดสันไปแล้ว
เราต้องการให้มันเปลี่ยนทิศทางที่เคลื่อนที่ลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้หน้ายางกดกับผิวถนนเกือบทันที ซึ่งถ้าไม่คำนึงถึงผลเสียด้านอื่น
แดมเปอร์ก็ต้องไม่ต้านการเคลื่อนที่ลงของล้อ ในจังหวะที่สปริงคลายตัวดันล้อลง
กดกับผิวถนน คือ ไม่มีจังหวะคลาย ก็น่าจะดี แต่ไม่เป็นเช่นนั้นครับ
เพราะมีปัญหาอื่นตามมา ตัวรถที่ถูก “ดีด” จนโยนตัวขึ้นไปสูงเกินควรกำลัง “ตก” ลงมา หลังจากล้อพ้นยอดสัน ซึ่งแน่นอนว่านอกจากมีแรงสปริงต้านแล้ว
ยังมีแรงต้านของแดมเปอร์ในจังหวะดันมีค่าสูงมาก เพราะความสะเทือนก็จะเพิ่มมาอีก
เพราะฉะนั้นตัวรถก็จะยุบต่ำเกินควรอยู่บ้าง ใช้ภาษาง่ายๆ ก็คือ ขย่มลงมา
สปริงจะถูกน้ำหนักรถอัดด้วยแรงเกินกว่าขณะที่จอดรถนิ่ง หรือแล่นอยู่บนผิวเรียบ
แรงและระยะยุบตัวของสปริง ที่เกินมาจากสภาพวิ่งทางเรียบนี้ จะคืนสภาพโดยดีด
หรือโยนตัวรถกลับขึ้นไป ในตอนนี้แหละครับ ถ้าแดมเปอร์ไม่มีแรงต้านในจังหวะคาย หรือ
REBOUND สปริงก็จะดันตัวรถขึ้นด้านบนอย่างเร็ว
จนสูงเลยระดับขณะแล่นบนทางเรียบหรือหยุดนิ่ง พอเลยระยะนี้ไป
แรงกดที่หน้ายางกับผิวถนน ก็จะลดลงกว่าขณะแล่นบนทางเรียบ
การยึดเกาะถนนก็จะไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเป็นในโค้ง หรือทางตรงแต่มีลมปะทะด้านข้าง
ก็จะเสียการทรงตัว ส่วนเราที่นั่งในรถไม่ว่าจะขับหรือไม่ก็ตาม จะถูกโยนตามไปด้วย
เป็นความรู้สึกที่ไม่มีใครต้องการ และปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
จึงต้องให้แดมเปอร์ทำงานในจังหวะคายด้วย และต้องทำงานด้วยแรงมากพอสมควรแน่นอน
เพราะถ้าไม่มีแดมเปอร์ที่ทำงานทั้งสองจังหวะ แล้วเสียหายอย่างมาก เราเดาด้วยตรรกะ
โดยที่ยังไม่ต้องมีความเข้าใจก็ได้ครับว่าถึงทำงานแล้วแต่ด้วยแรงที่น้อยเกินไป
มันก็ยังไม่มีทางดีได้เลย แล้วแค่ไหนถึงจะไม่น้อย (อ่อน) หรือ มาก (แข็ง) เกินไป ?
ว่ากันต่อสัปดาห์หน้าครับ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1105 วันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น