แนวคิดแบบอำนาจนิยม ที่เชื่อว่าการให้มีใบอนุญาตและอำนาจในการเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพนั้น จะแก้ปัญหาสื่อได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับหมอ เช่นเดียวกับวิศวกร และเช่นเดียวกับทนายความ ถูกพูดถึงอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากเงียบหายมาระยะหนึ่ง เมื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติสายสื่อมวลชน ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
แต่เมื่อกระบวนการขับเคลื่อนปฏิรูปสื่อตกมาอยู่ในมือของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ด้านการสื่อสารมวลชน ซึ่งแทบจะไม่มีสื่อมวลชนอาชีพอยู่เลย แนวคิดนี้ก็ถูกขับเคลื่อนต่อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้กฎหมายมากำกับ
ควบคุมสื่อโดยผ่านใบอนุญาตให้ได้
ในรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน
เรื่อง “การปฏิรูปกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
และร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (ฉบับที่..)
พ.ศ....” ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ตอนหนึ่งได้อธิบายถึงกฎหมาย กติกา การกำกับดูแล
โดยแสดงตัวอย่างในวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ นักกฎหมาย วิศวกร นักบินพาณิชย์ ว่า
บุคคลเหล่านี้ล้วนต้องมีใบอนุญาตทั้งสิ้น ดังนั้น
“วิชาชีพสื่อมวลชน ปัจจุบันยังไม่มีการกำกับ
กำหนดขั้นตอนในภาควิชาการ-ภาคสนาม และใบอนุญาต ใบประกอบโรคศิลป์
จึงควรมีวิธีการหรือกลไกที่เหมาะสมกับสภาวะกาลอย่างเป็นระบบต่อไป”
ตอนหนึ่งในรายงานระบุ
หากเปรียบเทียบวิชาชีพสื่อมวลชน
กับวิชาชีพอื่นๆที่กล่าวถึง จะพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ คือ
คนที่อยู่ในวิชาชีพสื่อมวลชนไม่จำเป็นต้องจบการศึกษา
หรือผ่านการฝึกอบรมเฉพาะด้านสื่อมวลชนโดยตรง
คนที่ทำอาชีพสื่อมวลชนราวครึ่งหนึ่งในปัจจุบันไม่ได้จบนิเทศศาสตร์
วารสารศาสตร์ หรือการศึกษาด้านสื่อสารมวลชน
และมีอีกจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะสื่อมวลชนรุ่นอาวุโสหลายคนที่ไม่ได้จบแม้แต่ปริญญาตรี
แต่คนเหล่านี้ก็ทำงานสื่อมวลชนด้วยความรับผิดชอบ
เป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป
ใครจะเป็นคนอนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะสายอื่นๆนั้น
ไม่เป็นปัญหา เนื่องเพราะกรรมการสภาวิชาชีพ กับผู้ประกอบวิชาชีพเหล่านั้น
ล้วนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องเดียวกัน การตัดสินถูก-ผิด จึงขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ชุดเดียวกัน
อยู่บนฐานข้อมูลเดียวกัน
แต่เมื่อถามว่าใครจะเป็นผู้ให้ใบอนุญาต
และเป็นผู้มีอำนาจถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ในบริบทที่สื่อมวลชนมีความหลากหลาย มีแนวคิดและทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน
หรือแม้แต่ประเด็นปัญหาทางจริยธรรมบางเรื่องก็ยังคงมีข้อโต้แย้งกันอยู่ ความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ
การยอมรับผลการวินิจฉัย ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ไม่ว่ากลุ่มคนที่มีอำนาจออกหรือเพิกถอนใบอนุญาต
จะเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อ
หรือจะเป็นในรูปแบบเจ้าพนักงานการพิมพ์ในยุคเผด็จการเรืองอำนาจก็ตาม
ดีที่สุดขององค์กรสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อ
ก็คือการออกใบรับรองว่าสื่อมวลชนแต่ละคนสังกัดองค์กรสื่อใด เพื่อเป็นข้อมูล
และจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าถึง
และตรวจสอบสถานะของสื่อมวลชนคนนั้นได้กรณีที่มีข้อสงสัย หรือมีการละเมิดเกิดขึ้น
ไม่เพียงความยุ่งยาก
ซับซ้อนในการใช้อำนาจกำกับ ควบคุมสื่อโดยผ่านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น
หากการให้มีใบอนุญาตในการอ่าน พูด หรือสื่อความหมายด้วยวิธีใด
ยังเป็นการขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะประกาศบังคับใช้ด้วย
เพราะไม่ว่ากฎหมายใดๆ หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญกฎหมายฉบับนั้น
ย่อมไม่มีผลใช้บังคับอยู่แล้ว
รัฐธรรมนูญฉบับประชามติ มาตรา 34 บัญญัติว่า
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา
และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ และมาตรา 35
บัญญัติว่า
บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร
หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
วรรคต่อมา
การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้
การให้นำข่าวสารหรือข้อความใดๆที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำขึ้น
ไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์ หรือสื่อใดๆจะกระทำมิได้
บทบัญญัติลักษณะเช่นนี้
ก็ไม่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550
การก่อตั้งอำนาจในการที่จะให้คำอนุญาตว่า
ผู้ใดสมควรจะแสดงความเห็น จะพูด จะเขียน จะพิมพ์ได้ จึงเป็นการขัดแย้งกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฏีกาได้ตีความเช่นนี้มาแล้ว
เสรีภาพของสื่อ ก็คือเสรีภาพของประชาชน
แน่นอนว่า สื่อมวลชนก็ต้องยอมรับว่า
ยังมีการใช้เสรีภาพโดยปราศจากความรับผิดชอบอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งก็ต้องมีวิธีการจัดการจะโดยมาตรการทางสังคม หรือกฎหมายที่บังคับให้กระบวนการดูแลกันเองสามารถทำงานได้ก็ตาม
แต่ไม่ใช่ด้วยการให้มีใบอนุญาต
เพราะสิ่งนี้คือความเลวร้ายอย่างยิ่งของประเทศเสรีประชาธิปไตย
และสื่อจำเป็นต้องผนึกกำลังกันต่อต้านแนวคิดอำนาจนิยมนี้อย่างถึงที่สุด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1105 วันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น